วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

ประวัติศาสตร์อันขมขื่น


หลวงยกบัตรเมืองโคราช ขออนุญาตมายังราชสำนักสยามเพื่อขอปราบพวกข่าที่ดอนโขง บ้านด่าน เมื่อได้พระบรมราชานุญาต หลวงยกบัตรก็ดำเนินแผนร้ายของตนเองทันที โดยทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขูดรีดชาวพื้นเมือง เมืองใดไม่ยอมก็ยกทัพเข้าตี ผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมากมี
พระยาไกรเจ้าเมืองภูขันไม่ยอมอ่อนต่อเมืองโคราช ได้ฟ้องร้องไปยังราชสำนักสยามๆ ได้ส่งคุณมหาอมาตย์ขึ้นไปไต่สอนความ เมื่อพบกับหลวงยกบัตรเมืองโคราช ก็ได้รับสินบนและได้ฟังแต่ข้อความดีๆ จากปากของหลวงยกบัตร        คุณมหาอมาตย์เดินทางกลับเพื่อไปรายงานต่อราชสำนักสยาม พระยาไกรได้ฟ้องร้องไปอีก คุณมหาอมาตย์ก็เดินทางไปอีกเช่นเคย คราวนี้ได้นำหลวงยกบัตรมากรุงเทพฯ ด้วย หลวงยกบัตรจัดเครื่องบรรณาการ มี เงิน ทอง เครื่องครามของป่า ข้าทาสลงมาถวายต่อราชสำนักด้วยและในที่สุดหลวงยกบัตรก็ได้รับแต่งตั้งเป็น พระยาพรหมภักดี เป็นการตอบแทน พร้อมทั้งให้สัญญาว่าเมื่อใดที่เจ้าเมืองโคราชถึงแก่อสัญญากรรมแล้ว ทางกรุงเทพฯ จะแต่งตั้งพระยาพรหมภักดีขึ้นครองเมืองแทน
เมื่อพระ พรหมภักดีเป็นที่โปรดปรานของราชสำนักสยามก็ได้ตั้งหน้าตั้งตารีดนาทาเร้นชาว พื้นเมืองหนักข้อยิ่งขึ้นทุกวัน ชาวพื้นเมืองที่ถูกกดขี่นั้น มีพวกข่ารวมอยู่ด้วยพวกข่าได้รวมตัวกันต่อสู้และท้ายที่สุดก็ได้ภิกษุสา หรือเจ้าหัวสาเป็นผู้นำในการต่อสู้ พวกข่าได้ไปขอขึ้นเป็นไพร่มากมาย และได้ตั้งตัวเป็นอยู่ที่เขาเก็ดโง้ง บ้านหนองบัว แขวงจำปาศักดิ์
เมื่อ มีพวกข่ามาขึ้นมากมาย แทนที่พระยาพรหมภักดีจะเข้าไปต่อสู้ กลับวางแผนยั่วยุให้เจ้าหัวสา เผาเมืองบาศักดิ์และให้ตั้งตนเป็นใหญ่ครองเมืองบาศักดิ์ โดยตนเองจะสนับสนุน
เจ้าหัวสา มีความักใหญ่ใฝ่สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่รู้แผนของพระยาพรหมภักดี ก็เลยยกทัพไปตีเมืองบาศักดิ์ โดยมีทหารของพระยาพรหมภักดีช่วยเหลือด้วย และสามารถยึดเมืองได้และเผาเมืองทิ้งเสีย ผู้คนในเมืองต่างแดนแตกตื่นและหนีไปยังเมืองต่างๆ รวมทั้งเมืองจำปาศักดิ์หนีไปหาพระยาพรหมภักดี
การกระทำของเจ้าหัวสา ทำความเดือดร้อนให้แก่ขาวบ้านเป็นอย่างมาก ทำให้พระอนุรุธราช เจ้าเมืองเวียงจันทน์ออกปราบปราม และจับเจ้าหัวสาได้ เมื่อได้ทำการสอบสวนเจ้าหัวสา ก็สารภาพว่า พระยาพรหมภักดีเป็นผู้ยุแหย่ พระองค์พิโรธมาก จึงให้ทหารไปตามตัวพระยาพรหมมาสอบสวน พระยาพรหมปฏิเสธและจากสาเหตุดังกล่าวทำให้ทั้งสองขัดแย้งกันมากขึ้น ในที่สุด ทั้งพระอนุรุธราช พระยาพรหม ลงมากรุงเทพฯ พร้อมทั้งเจ้าหัวสา และพรรคพวกซึ่งถูกข้อหาขบถ
จากการสอบสวนพระยาพรหมภักดี แม้จะมีความผิดแต่ก็ทรงเห็นว่ามีคุณต่อแผ่นดินก็ยกโทษให้ พระอนุรุธราชทูลขอให้ราชบุตรของพระองค์ครองเมืองจำปาศักดิ์ ก็ทรงอนุญาต พระยาพรหมภักดีเห็นว่า พระอนุรุธราชมีอำนาจมากขึ้นทุกวัน จึงทูลว่าเมื่อเจ้าเมืองเวียงจันทน์มีอำนาจมาก พวกลาวก็จะกลับไปยังเมืองเวียงจันทน์หมด มีทางแก้ก็อยู่ต้องจดเลกพวกลาวเสียก่อน ทางราชสำนักสยามเห็นชอบด้วย จึงโปรดกล้าฯ ให้ หมื่นภักดี หมื่นพิทักษ์ ไปเป็นแม่กองสักเลกที่เมืองกาฬสินธุ์ ละคร เหมราษฐ์ บังมุกอุบล ตามลำดับ พอดีกับเจ้าเมืองโคราชถึงแก่อสัญญกรรมพระยาพรหมภักดีก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ครองเมืองแทน
การสักเลกจึงทวีความรุนแรงขึ้น ชาวบ้านชาวเมืองเดือดร้อนมากขึ้นทุกวัน ผู้คนถูกกวาดต้อนย้ายถิ่นฐานพลัดนาคาที่อยู่และต่างหนีไปพึ่งเมือง เวียงจันทน์ ความขัดแย้งทวีอย่างรุนแรงขึ้นทุกวัน ระหว่างเจ้าเมืองเวียงจันทน์กับพระยาพรหมภักดี และถึงจุดระเบิดเมื่อพระยาพรหมภักดีแจ้งไปยังเมืองบาศักดิ์ให้นำทหารไปตีพวก ข่า เจ้าบาศักดิ์ไม่พอใจจึงไปทูลเจ้าเมืองเวียงจันทน์ เจ้าเวียงจันทน์ทรงกริ้วพระยาพรหมภักดีมาก เพราะทำความเดือดร้อนให้แก่ชาวลาวและข่ามากขึ้นทุกวัน จึงจัดทัพจากเวียงจันทน์ออกกวาดล้างกองสักเลก และหมายล้มอำนาจของพระยาพรหมภักดีด้วย เพราะเห็นความชั่วร้ายของพวกเหล่านี้มากมายเพราะนอกจากจะทารุณประชาชนแล้ว แม้แต่ข้าทาสที่อยู่รักษาพระธาตุพนมก็ถูกพวกพระยาพรหมภักดีกวาดต้อนไปเสีย สิ้น อันเป็นการลบหลู่ดุหมิ่นต่อพระศาสนาอย่างมาก
ทัพของพระอนุรุธราช เจ้าเมืองเวียงจันทน์ ได้จับนายกองสักเลก และเจ้าเมืองที่ข่มเหงราษฎร์ฆ่าเสียสิ้น ทุกคนกลัวพระบารมี ในที่สุดเวียงจันทน์ก็เดินทัพเข้าสู่โคราช กรรมการเมืองยอมอ่อนน้อม ขณะนั้นพระพรหมภักดีหายไปไม่ปรากฏตัว ทัพเวียงจันทน์รวบรวมทรัพย์สมบัติและกวาดต้อนผู้คนไปกักกันไว้ที่ค่ายมูลเค็ง (ทุ่งสัมริด) อีกส่วนหนึ่งก็ออกล่าตัวพระยาพรหมภักดี โดยมีพระยาไกรเป็นหัวหน้า
ดูเหมือนจะเป็นแผนการของพระยาพรหมภักดี ซึ่งคอยหลบซ่อนอยู่ที่เมืองขุขัน พอทราบข่าวว่าพรรคพวกถูกกวาดต้อนไปกักกันที่ค่ายมูลเค็ง พระยาพรหมภักดีก็ปลอมตัวเป็นไพร่แล้วลอบเข้ามาอยู่ในค่ายมูลเค็ง วางแผนกับลูกน้องในการที่จะหยุดยั้งการกวาดต้อนไปเวียงจันทน์ให้ช้าลง เช่น ขอหยุดเพื่อรวบรวมครอบครัวที่กระจัดกระจายให้ครบถ้วนเสียก่อน ขอซ่อมพาหนะในการขนเสบียงเป็นต้น เจ้าเมืองเวียงจันทน์ทรงอนุญาต และพระองค์เสด็จไปรวบรวมไพร่พลในเมืองอื่นๆ ต่อไป ได้แก่ กาฬสินธุ์ ละคร แปะ (บุรีรัมย์) ปัก (ปักธงชัย) ร้อยเอ็ด ในขณะนั้นทางค่ายมูลเค็งก่อความไม่สงบ ได้ฆ่าพวกทหารเวียงจันทน์ตายเกือบหมด และพ่ายแพ้หนีไป เจ้าเมืองเวียงจันทน์ทราบข่าวก็พิโรธมาก จึงจัดให้ถอยทัพก่อน และให้รีบรวบรวมไพร่พลอพยพกลับเวียงจันทน์
ความ ทราบมาถึงราชสำนักสยามจากเมืองโคราช ซึ่งทางกรุงเทพฯ ทราบเพียงว่า เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เป็นขบถ จึงโปรดให้ พระยามุนินทรเจ้าลือเดช (เจ้าพระยาบดินทร์เดชาสิงห์ สิงหเสนีย์) เมื่อทัพทางกรุงเทพฯ ขึ้นไป ทัพลาวแตกพ่ายไปยับเยิน เจ้าเมืองเวียงจันทน์เห็นลางพ่ายของตนเอง จึงหมายที่จะไปพึ่งแกว (ญวน) แต่ในที่สุดพระองค์ถูกทัพหลวงของไทยจับตัวได้ และถูกส่งตัวไปยังกรุงเทพฯ ในที่สุดถึงแก่ทิวงคต ไปสู่สวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์
……………………………….


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น