ตำนานเมืองนครจำปาศักดิ์
ฉะบับเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์
และเจ้าราชวงศ์
เมืองนครจำปาศักดิ์
วัน ๔ เดือน ๖ ขึ้นค่ำ ๓
ปีระกาตรีศกศักราช ๑๒๒๓ ตรงกับปีคฤสตศักราช ๑๘๖๑ เป็นปีที่ ๑๑ ในรัชชกาลที่ ๔
ในพระบรมราชวงศ์อันนี้
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ
สุทธสมมติเทพยพงศ์วงศาดิศวรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม
จาตุรันตบรมราชมหาจักรพรรดิราชสังกาศ บรเมธรรหิกมหาราชาธิราช
บรมนารถบพิตรพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ที่ ๔
ในพระบรมราชวงศ์อันนี้
มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งพระศรีสุนทรโวหารเจ้ากรมพระอาลักษณ์
และเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์เจ้าเมืองอุบลราชธานี
และเจ้าราชวงศ์เมืองนครจำปาศักดิ์เก่า
ซึ่งเป็นโทษต้องถอดออกนอกราชการค้างอยู่นานในกรุงเทพมหานคร
มารวบรวมพงศาวดารเก่าของเมืองนครจำปาศักดิ์ และรวบรวมจดหมายเหตุเก่าใหม่มีใน ๔
แผ่นดินมาเลือกเอาความตามสมควร แล้วเรียงเรื่องพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกเอกอุดมลงไว้
เพื่อจะให้ผู้อ่านได้ทราบความเดิม ตามเหตุที่มีจริงเป็นจริงดังจะกล่าวไปนี้
พระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกซึ่งทรงพระปรารภเป็นสาทนิยารมณ์พระองค์นี้
เป็นพระพุทธปฏิมาล้วนแล้วด้วยแก้วผลึกอย่างเอกอุดมที่ช่างพลอยเรียกว่าบุศน้ำขาวบ้าง
เพ็ชรน้ำค้างบ้าง
และมีส่วนทรวดทรงฝีมือช่างทำงานดีกว่าพระพุทธรูปอื่นบรรดามีในที่ต่าง ๆ ซึ่งช่างดี
ๆ ได้ทำไว้ เมื่อพิเคราะห์ไปโดยละเอียดจนถึงจับกางเวียนมาจับกระเบียดเทียบเคียงดู
จะจับส่วนที่คลาดเคลื่อนไม่เที่ยงเท่ากันนั้น ก็จะได้เป็นอันยาก
มีประมาณสูงแต่ที่สุดทับเกษตรขึ้นไปจนสุดปลายพระจุฬาธาตุ ๑๒ นิ้ว ๒
กระเบียดอัศฎางค์ หน้าตักวัดแต่ระหว่างพระชานุทั้งสอง ๙ นิ้วกับ ๔
กระเบียดอัศฎางค์ ระหว่างพระกรรปุรทั้งสอง ๖ นิ้ว ๑ กระเบียดอัศฏางค์
ระหว่างพระอังศกูฎ ๕ นิ้วกับ ๗ กระเบียดอัศฎางค์
ประมาณพระเศียรแต่ปลายพระหนุขึ้นไปถึงที่สุดพระจุฬาธาตุ ๑ นิ้วกึ่งกับ ๑
กระเบียดอัศฎางค์ กว้างพระพักตร์วัดในระหว่างปลายพระกรรณสองข้าง ๒ นิ้วกับ ๗
กระเบียดอัศฎางค์ นิ้วที่ว่านั้นคือนิ้วช่างไม้ นับนิ้วหนึ่งคือเจ็ดเมล็ดข้าวเปลือกเรียงกัน
พระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกพระองค์นี้ แต่เดิมจะเป็นก้อนแก้วณตำบลใด
ท่านผู้ใดได้มาแล้วและสร้างขึ้น สร้าง ณ
ที่ใดเมื่อใดความลับลึกไปไม่ได้ความแจ้งชัด พระพุทธปฏิมากรแก้วบุศน้ำขาวพระองค์นี้
ได้มายังกรุงเทพมหานครนี้แต่เมืองนครจำปาศักดิ์ เมื่อปลายปีมะแมตรีศกศักราช ๑๑๗๓
เป็นปีที่ ๓ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นแผ่นดินที่ ๒
ในพระบรมราชวงศ์นี้
เมืองนครจำปาศักดิ์นั้น
เป็นเมืองลาวขึ้นกรุงเทพมหานครตั้งอยู่ในฝั่งแม่น้ำโขง
เป็นแม่น้ำใหญ่ไหลมาแต่เมืองลาว หรือ ๑๒ พันนาที่ไม่ได้ขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร
และไหลมาทางเมืองเชียงแสนและเมืองหลวงพระบาง เมืองล้านช้าง และเมืองเวียงจันทน์
และอื่น ๆ ซึ่งเป็นเมืองกรุงเทพมหานคร
ตลอดไปในแผ่นดินเขมรและไปมีปากน้ำออกน้ำออกทะเลในแผ่นดินเขมรที่อยู่ในอำนาจญวน คือปากน้ำป่าสักพระตะพัง
เมืองนครจำปาศักดิ์นั้นตั้งอยู่ในที่ต่อลาวกับแดนเขมร
เมืองนครจำปาศักดิ์นั้นแต่ก่อนเป็นแต่ตำบลชื่อจำปะยังไม่ได้เป็นบ้านเมืองมีเจ้านายเปนที่เปลี่ยวอยู่
เมืองล้านช้างเมืองเวียงจันทน์ตั้งก่อนช้านาน
ครั้งหนึ่งไม่รู้กำหนดว่าปีใดนานกว่าปี ๒๐๐ ปีมาแล้ว ก่อนแต่เมืองล้านช้างและเมืองเวียงจันทน์ได้มาขึ้นกรุงเทพมหานคร
เมื่อปีกุนเอกศกศักราช ๑๑๔๑ ตรงกับปีมีคฤสตศักราช ๑๗๗๙ นั้นไปช้านาน
เมืองเวียงจันทน์ยังเป็นเมืองไม่ขึ้นข้างไหนมีเจ้าแผ่นดินครองเมืองเอง
ครั้นเจ้าเวียงจันทน์องค์หนึ่งจำชื่อไม่ได้เป็นเจ้าแผ่นดินถึงพิราลัยลง
เจ้านายบุตรหลานวิวาทรบพุ่งกันอยู่ช้านาน
จนไพร่บ้านพลเมืองได้ความร้อนรนระส่ำระสาย
เพราะเจ้านายชักเย่อแย่งชิงจับกุมเอาไปเป็นพวกข้างโน้นข้างนี้
แล้วกะเกณฑ์ให้รบพุ่งฆ่าฟันรันตีกัน
ไม่เป็นอันที่จะได้ทำมาหากินล่วงกาลนานหลายปีไป
จึงมีลาวบางจำพวกซึ่งเป็นไพร่มากมายหลายครอบครัวด้วยกัน
เห็นว่าจะอยู่ในเขตต์แคว้นแดนแขวง
ใกล้เคียงเมืองล้านช้างเมืองเวียงจันทน์จะหามีความสุขไม่
ครั้นจะหนีเข้าป่าดงพงไพรไปทั้งครอบครัวบุตรภรรยาก็เห็นว่าจะยากลำบาก
ด้วยไม่มีถิ่นที่ไร่นาทำมาหากิน จะต้องซุกซ่อนปล้อนปลิ้นหลบลี้หนีเจ้านายไม่วายลง
ถ้าจะพากันลงเรือแพแล้วถ่อพายทวนน้ำขึ้นไป
อาศัยเขตต์แขวงเมืองเซ่าหลวงพระบางหรือเมืองเชียงแสนเมืองเชียงรุ้ง
ก็จะได้ความลำบาก ยากที่จะหนีเจ้านายที่วุ่นวายกันอยู่นั้นให้พ้นไปได้
จึงพากันผูกแพบ้าง ที่มีเรือก็ลงเรือบ้าง
รวบรวมสะเบียงอาหารบรรทุกแล้วพาครอบครัวล่องน้ำลำของลงไปเป็นอันมากด้วยกัน
ครั้งนั้นมีพระครูอยู่วัดโพนเสม็ด
เป็นอาจารย์บอกพระกรรมฐานเป็นที่นับถือของชนเป็นอันมาก
ได้ลงไปกับครอบครัวลาวเหล่านั้นด้วยเมื่อพวกครอบครัวเหล่านั้น
จะมีการขุ่นข้องหมองหมางไม่สมัครสโมสรกันประการใด
พระครูโพนเสม็ดช่วยว่ากล่าวเกลี่ยไกล่ ชักโยงให้สมัครสโมสรพร้อมเพรียงกัน
แล้วพากันล่องลงไปจนถึงเขาลี่ผีแล้วยังจะกลัวว่าจะหนีนายฝ่ายเวียงจันทน์ไม่พ้น
พากันล่วงข้ามเขาเขาลี่ผีผูกพ่วงแพหนีต่อไป
เข้าอาศัยอยู่ณที่เมืองพนมเพ็ญในแผ่นดินแดนเมืองเขมรช้านาน
ครั้นล่วงกาลนานมาผู้ครองฝ่ายเขมรเห็นว่าพวกลาวเป็นคนผิดเพศภาษา
มาอาศัยอยู่ในอำนาจของตัวแล้ว
ถึงแต่แรกได้รับรองอนุเคราะห์ให้เป็นสุขพอเป็นที่ยินดี
ภายหลังก็มีกรุณาน้อยไปกะเกณฑ์ใช้การงานหนักบ่าหนักแรงมาก
และเรียกส่วยไร่เกินพิกัดทำให้ไพร่ลาวเหล่านั้น ได้ความยากจนทนมิได้
พวกลาวเหล่านั้นพร้อมใจกันกับพระครูโพนเสม็ด ยกอพยพหลบหนีขึ้นมาข้างบนจนข้ามเขาลี่ผีพ้นแดนเขมรมาได้
ครั้นจะกลับคืนไปยังภูมิลำเนาเดิม ก็ยังกริ่งเกรงผู้ครองฝ่ายเมืองเวียงจันทน์อยู่
จึงได้พากันตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลนั้น ๆ ที่ได้ชื่อว่าเชียงแตงและโขงและอัตปือและคำทองน้อยคำทองใหญ่และอื่น
ๆ แต่พระครูโพนเสม็ดกับครอบครัวพวกพ้องเป็นอันมาก มาตั้งอยู่ที่ตำบลจำปะ
เพราะเห็นว่าที่นั้นเป็นภูมิสถานอันดีควรเป็นที่ตั้งอยู่สบาย
เมื่อพระครูโพนเสม็ดกับครอบครัว
ยกอพยพมาจากเมืองเขมรมาตั้งอยู่ที่ตำบลเชียงแตงเป็นที่แรกนั้น
ได้เรี่ยไรพวกครอบครัวให้ประมวญทองแดงทองเหลืองเป็นอันมากหนักได้ ๑๖๐ ชั่งเศษ
หล่อขึ้นเป็นพระพุทธรูปพระองค์หนึ่งเนื้อหนาดี ขัดสีเกลี้ยงเกลางาม
พระครูโพนเสม็ดถวายพระนามว่า
พระแสน
เพราะคิดน้ำหนักได้กว่าแสนเฟื้องตั้งไว้ในวัด
ซึ่งเปนที่อยู่ของพระครูโพนเสม็ดณเมืองเชียงแตง
พระแสนนั้นก็อยู่ที่เมืองเชียงแตงมาจนถึงแผ่นดินปัจจุบันนี้
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสืบทราบต้องพระราชประสงค์
เสด็จลงมากราบทูลขอให้มีท้องตราให้ข้าหลวงขึ้นไปเชิญอาราธนาลงมา
เมื่อปีมะแมนักษัตรเอกศกศักราช ๑๒๒๑
ตรงกับปีมีคฤสตศักราช ๑๘๕๙
ครั้นเชิญเสด็จพระแสนลงมาถึงแล้วก็พระราชทานไปในพระบวรราชวังตามพระราชประสงค์
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีรับสั่งให้อัญเชิญไปสร้างแท่นฐาน
ประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดหงส์รัตนารามคลองบางกอกใหญ่อยู่จนทุกวันนี้
พระแสนนั้นรูปพรรณเป็นฝีมือช่างลาวโบราณประหลาดอยู่
ก็พระครูโพนเสม็ดนั้นอยู่ที่เชียงแตงไม่สบายก็ย้ายถิ่นยกครอบครัวมาตั้งอยู่ที่เมืองโขง
เป็นเกาะกลางแม่น้ำโขง แล้วไปอยู่ที่ตำบลอัตปือแล้วจึงไปอยู่ที่คำทองน้อย
แล้วย้ายไปอยู่ที่คำทองใหญ่ แล้วไปอยู่ตำบลมั่นตำบลเจียม
ภายหลังจึงมาตั้งอยู่ที่ตำบลจำปะ ก็เมื่อพระครูนั้นยักย้ายที่อยู่ไปในที่ต่าง ๆ
รอบครัวญาติโยมยกเหย้าย้ายเรือนตามต่อไปบ้าง คงตั้งอยู่ตามที่ตั้งนั้น ๆ บ้าง
นายครัวผู้ใหญ่ที่ตั้งอยู่ในที่นั้น ก็เกลี้ยกล่อมผู้คนไปมา
และชาวป่าชาวดอนมาอยู่ด้วยแน่นหนามากขึ้น พวกนั้นเพราะเป็นศิษย์ญาติโยมครูโพนเสม็ด
เมื่อมีเหตุการณ์วิวาทบาดคล้องกันบ้างประการใด ๆ ก็พากันตามไปฟ้องร้องต่อพระครูโพนเสม็ด
ให้ช่วยว่ากล่าวไกล่เกลี่ยระงับความให้สงบไป
การก็เรียบร้อยกันอยู่ได้ไม่แตกร้าวจากกัน ตำบลต่าง ๆ ตั้งแต่เชียงแตงมาจนถึงจำปะ
ก็อยู่ในอำนาจพระครูโพนเสม็ดทั้งสิ้นหลายปี
ครั้นภายหลังไม่ช้ามีเจ้าฝ่ายลาวเวียงจันทน์ผู้หนึ่ง ชื่อว่าเจ้าสร้อยศรีสมุท ฯ
มีความวิวาทกับญาติพี่น้องซึ่งเป็นเจ้านายผู้ครองเมืองเวียงจันทน์
จึงได้พาครอบครัวบุตรภรรยาบ่าวไพร่เป็นอันมาก ลงเรือล่องน้ำหนีลงมาจนถึงตำบลจำปะ
ได้พบกับพระครูโพนเสม็ด และพวกครอบครัวซึ่งตั้งอยู่ก่อนก็สมัครสโมสร
ขึ้นอยู่กลมเกลียวเป็นอันเดียวกัน ด้วยประการนี้ที่ตำบลจำปะนั้น
ก็เป็นถิ่นสถานโตใหญ่ขึ้นควรจะเป็นบ้านเมือง
จึงพระครูโพนเสม็ดปรึกษาพร้อมกับนายครัว ซึ่งมีกำลังเป็นญาติโยมและศิษย์ทั้งปวงว่า
เจ้าสร้อยศรีสมุท ฯ นั้นเป็นเชื้อสายเจ้านายเมืองเวียงจันทน์มาแต่เดิม
ขอให้ชาวบ้านทั้งปวง ยอมยกให้เจ้าสร้อยศรีสมุท ฯ เป็นเจ้าแผ่นดินว่าราชการเมือง
แล้วให้ตั้งบ้าน จำปะนั้นเป็นเมืองหลวง เรียกว่าเมืองนครจำปาศักดิ์เถิด
นายครัวทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย ยอมทำตามพระครูโพนเสม็ดทุกประการ
ตั้งแต่นั้นมาเจ้าสร้อยสมุท ฯ
ก็ได้เป็นเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์เป็นปฐมเมืองนครจำปาศักดิ์นั้นเมื่อตั้งขึ้นแล้ว
เจ้านครจำปาศักดิ์มีอำนาจ ได้ว่ากล่าวลาวชาวตำบลต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง
ตั้งขึ้นเรียกว่าเมืองเจ็ดหัวเมือง คือเมืองโขง เมืองเชียงแตง เมืองอัตปือ
เมืองคำทองน้อย เมืองทองคำใหญ่ เมืองมั่น เมืองเจียม
เมืองนครจำปาศักดิ์ครั้งนั้นก็ตั้งตัวเป็นใหญ่
ไม่ได้ขึ้นอยู่ในอำนาจแผ่นดินไทย และเขมร และญวนและลาวเวียงจันทน์
ซึ่งเป็นเมืองมีอำนาจใหญ่อยู่รอบด้านเพราะครั้งนั้นเมืองทั้งปวงก็มีการทัพจับศึกวุ่นวายไม่สบายอยู่ด้วยเหตุ
ต่าง ๆ เจ้านครจำปาศักดิ์สร้อยศรีสมุทมีบุตรชายใหญ่ ๆ สี่คือ เจ้าไชยกุมาร
๑ เจ้าธรรมเทโว ๑ เจ้าสุริโย ๑ เจ้าโพธิสาร ๑ ภายหลังพระครูโพนเสม็ดก็ถึงมรณภาพ
แล้วเจ้านครจำปาศักดิ์สร้อยศรีสมุท ฯ ก็ถึงแก่พิราลัยล่วงไป
ท้าวเพี้ยผู้ใหญ่ในเมืองนครจำปาศักดิ์พร้อมกัน ตั้งเจ้าไชยกุมารบุตรผู้ใหญ่ของเจ้านครจำปาศักดิ์สร้อยศรีสมุท
ฯ นั้น เป็นเจ้านครจำปาศักดิ์สืบมา แล้วจึงตั้งเจ้าธรรมเทโวเป็นเจ้าอุปราช ตั้งเจ้าสุริโยเป็นเจ้าราชวงศ์
รักษาเมืองนครจำปาศักดิ์สืบไป
ก็เมื่อเวลาเจ้าไชยกุมารเป็นเจ้านครจำปาศักดิ์อยู่นั้น
มีลูกค้าลาวผู้หนึ่งชาวนครจำปาศักดิ์
มาแจ้งความแก่เจ้าไชยกุมารผู้เป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ และเจ้าธรรมเทโวผู้เป็นอุปราชว่า
ได้เห็นพระพุทธรูปแก้วงามดีเป็นของวิเศษมีอยู่ในเรือนพรานป่า ชื่อพรานทึงพรานเทิงตำบลบ้านส้มป่อยนายอน พรานทึงพรานเทิงสองคนหาได้นับถือเป็นพระไม่
ถือว่าเป็นผีเสื้อหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ จึงซ่อนเก็บไว้เป็นมิ่งบ้านขวัญเรือน
ลูกค้าผู้นั้นเห็นว่าไม่ควร เพราะพระพุทธรูปเป็นของดี
ถ้าได้มาไว้เป็นที่มหาชนได้นมัสการด้วยกันเป็นอันมากจึงจะสมควร
เจ้าไชยกุมารผู้เป็นเจ้านครจำปาศักดิ์
เจ้าธรรมเทโวอุปราชจึงได้สั่งให้ลูกค้าผู้นั้น
นำท้าวเพี้ยกรมการไปยังบ้านพรานทึงพรานเทิง
ขอดูพระพุทธรูปแก้วได้เห็นว่ามีจริงแล้ว จึงได้ให้ท้าวเพี้ยกรมการพร้อมกัน
แห่พระพุทธรูปแก้วนั้นเข้ามาไว้ในเมืองนครจำปาศักดิ์
ทำสักการบูชาสมโภชฉลองเป็นอันมากแล้ว ยกไพร่ข่าบ้านส้มป่อยนายอนบ้านพรองบ้านจองออน
ถวายเป็นข้าพระแก้วเก็บส่วยมาทำสักการบูชา และสร้างสถานที่ไว้ที่โดยสมควร
พรานทึงพรานเทิงพรานป่าเจ้าของพระแก้วนั้น เมื่อเจ้านครจำปาศักดิ์ซักถามว่า
พระพุทธรูปแก้วนี้ได้มาแต่ที่ไหน พรานทึงพรานเทิงให้การว่า
ตัวพรานทึงพรานเทิงเป็นพรานป่าไปเที่ยวยิงสัตว์ในป่า
แต่ก่อนหาใคร่จะพบปะสัตว์ที่ควรจะยิงไม่
วันหนึ่งเดินไปถึงถ้ำเปลี่ยวในเขาส้มป่อยนายอน เป็นเวลาร้อนแวะเข้าไปในปากถ้ำ
จึงได้เห็นพระพุทธรูปแก้วองค์นี้ ตั้งอยู่ในถ้ำเป็นของประหลาดอยู่
เข้าใจว่าจะมีผีศักดิ์สิทธิสิง
จึงกราบไหว้บนบานขอให้ยิงสัตว์ได้มากจะถวายเครื่องเซ่น
ครั้นพรานทึงพรานเทิงไปเที่ยวยิงสัตว์ในป่า แต่นั้นมาก็พบช้างพบแรด
และสัตว์ที่ควรจะยิงมากกว่าปกติแต่ก่อน พรานทึงพรานเทิงทำเครื่องเซ่นไปสังเวย
ใช้บนพระพุทธรูปแก้วแล้วก็บนต่อไปด้วยเหตุนี้
พรานทึงพรานเทิงต้องทำเครื่องเซ่นไปใช้บนพระพุทธรูปแก้วเนือง ๆ
ภายหลังพรานทึงพรานเทิงมีความเกียจคร้าน เพื่อจะไปยังถ้ำเปลี่ยวนั้นเนือง ๆ
อนึ่งมีความวิตกว่า เมื่อพรานทึงพรานเทิงเดินไปมายังถ้ำนั้นเนือง ๆ
เกลือกจะมีผู้อื่นรู้เข้าตามไป แล้วยักเอาพระพุทธรูปแก้วไปอื่นเสีย
พรานทึงพรานเทิงจึงได้อาราธนาอัญเชิญพระพุทธรูปแก้ว
ว่าเชิญท่านไปอยู่บ้านด้วยกันเถิด จะได้เครื่องเซ่นวักบูชาเนือง ๆ ทุกวัน
เมื่อว่าดังนี้แล้วจึงได้เอาสายหน้าไม้ผูกพระศอพระพุทธรูปแก้ว
ให้ติดเนืองแน่นกับขาหน้าไม้ แล้วคอนกลับมาบ้าน เมื่อคอนกวัดแกว่งไปมา
ปลายพระกรรณขวาของพระพุทธรูปแก้ว กระทบกับขาหน้าไม้ลิหักแตกตกหายไปเสียข้างหนึ่ง
ครั้นมาถึงบ้านแล้ว
พรานทึงพรานเทิงจึงเชิญพระพุทธรูปแก้วไว้ในเรือนเซ่นวักสักการบูชา เมื่อไปยิงช้างได้งา
ยิงแรดได้นอเมื่อใด
ก็นำเอาโลหิตสัตว์มาทาเข้าไปในองค์พระพุทธรูปแก้วเป็นสังเวยเมื่อนั้น
ครั้นนานมาโลหิตสัตว์ก็ติดกรังหนาพอกพระองค์พระพุทธรูปแก้วอยู่
เมื่อไรพรานทึงพรานเทิงและบุตรภรรยา จะตากเข้าหรือเนื้อสัตว์ไว้
และมีกิจธุระไปนาไปไร่ไปเที่ยวยิงสัตว์ ก็ได้ว่าสั่งพระพุทธรูปแก้ว
ที่เรียกว่าผีเสื้อหน้าไม้นั้น ให้อยู่เฝ้าเรือนเฝ้าของที่ตากไว้
ถึงเรือนและของที่ตากไว้นั้นไม่มีผู้ใดเฝ้า ก็ไม่เคยมีอันตรายเลย
โจรผู้ร้ายไม่ได้ขึ้นเรือน นกกาไก่ก็ไม่ได้มากินเข้ากินเนื้อซึ่งเป็นของตากไว้
พรานทึงพรานเทิงจึงเห็นว่า พระพุทธรูปแก้วที่ชื่อผีเสื้อหน้าไม้นี้เป็นของที่ดีที่ลาวเรียกว่าคำคุณ ควรหวงควรสงวนซ่อนไว้
ก็ลูกค้าซึ่งนำท้าวเพี้ยกรมการไปรับพระพุทธรูปแก้ว
ผู้นั้นได้เห็นพรานทึงพรานเทิงมีนอระมาดงาช้าง
มากกว่าพรานป่าที่หากินด้วยยิงสัตว์ทั้งปวงทุกแห่ง จึงได้ไปขอซื้อนอระมาดงาช้างเนือง
ๆ จนคุ้นเคยเข้าสนิทเป็นมิตรสหาย ลูกค้านั้นถามถึงพรานทึงพรานเทิงว่าด้วยเหตุอันใด
พรานทึงพรานเทิงจึงยิงสัตว์ได้มากกว่าผู้อื่น
พรานทึงพรานเทิงจึงได้บอกว่าได้ด้วยอำนาจผีเสื้อหน้าไม้เป็นของคำคุณ
ลูกค้าผู้นั้นขอดู พรานทึงพรานเทิงได้ให้ดู ลูกค้านั้นเห็นแล้วจึงว่าของนี้ใช่เจว็ดผี
เป็นพระพุทธรูปแท้ แล้วจึงมาแจ้งความแก่เจ้านครจำปาศักดิ์ ดังนี้
และเจ้านครจำปาศักดิ์ไชยกุมาร
ได้รักษาพระพุทธรูปแก้วองค์นี้ไว้ในเมืองนครจำปาศักดิ์เก่า
ได้เป็นใหญ่รักษาแผ่นดินอยู่ตามอำนาจเดิมนั้น นานล่วงกาลหลายปีมา
จนเจ้าธรรมเทโวอุปราชและเจ้าสุริโยผู้น้องถึงแก่พิราลัยล่วงไปก่อน
ภายหลังพวกเมืองนครจำปาศักดิ์ สมคบกับผู้สำเร็จราชการกรมการเมืองนางรอง
พระยานางรอง เพราะสมคบกับพวกเมืองนครจำปาศักดิ์เป็นกำลัง
ก็มีความกำเริบกระด้างกระเดื่องขึ้น ครั้งนั้นฝ่ายไทย
เจ้าตากสินเป็นเจ้าแผ่นดินใหญ่อยู่ ณ กรุงธนบุรี
ประมาณเมื่อนั้นเป็นปีมะแมสัปตศกศักราช ๑๑๓๗ ตรงกับปีมีคฤสตศักราช ๑๗๗๘
ผู้สำเร็จราชการ และกรมการเมืองนครราชสิมาเป็นเมืองขึ้นกรุงธนบุรี
จึงมีหนังสือบอกลงมายังกรุงธนบุรีเจ้ากรุงธนบุรีจึงได้แต่งกองทัพขึ้นไป
กำราบปราบปรามพระยานางรองและเพราะมีการเกี่ยวข้องกับพวกเมืองนครจำปาศักดิ์
กองทัพไทยจึงได้ยกไปปราบปรามเมืองนครจำปาศักดิ์และเมืองลาว
ซึ่งขึ้นแก่นครจำปาศักดิ์ทั้งปวงนั้นด้วย ครั้งนั้นเจ้านครจำปาศักดิ์ไชยกุมารยอมแพ้ขอถวายดอกไม้ทองเงินเป็นเมืองขึ้นแก่กรุงธนบุรี
ตั้งแต่ปีระกานพศกศักราช ๑๑๓๙ มา ตรงกับปีมีคฤสตศักราช ๑๗๓๗
และเมื่อกองทัพใหญ่ฝ่ายไทย ขึ้นไปปราบปรามเมืองนครจำปาศักดิ์ครั้งนั้น
เจ้านครจำปาศักดิ์จึงยอมแพ้ขอขึ้นแก่กรุงธนบุรี
ก็ยังมีความตระหนี่เสียดายซ่อนพระพุทธปฏิมากรแก้ว ซึ่งเป็นของวิเศษนั้นเสีย
ปิดความไม่ให้แม่ทัพนายกองฝ่ายไทยได้ทราบความเลย ว่าพระพุทธปฏิมากรแก้วมีอยู่ในเมืองนครจำปาศักดิ์
ครั้นกาลล่วงมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
เมืองนครจำปาศักดิ์ก็คงขึ้นแก่กรุงเทพมหานครอยู่ ภายหลังมีข่าวว่า
เจ้านครจำปาศักดิ์ไชยกุมารแก่ชรา เจ้าหลานผู้บุตรของเจ้าธรรมเทโวเจ้าสุริโยผู้น้อง
และบุตรของเจ้าหน่อเมือง ผู้บุตรของเจ้านครจำปาศักดิ์ไชยกุมาร
เกิดวิวาทริษยาชิงกันจะเป็นใหญ่จนเกิดรบพุ่งฆ่าฟันกัน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงมีพระราชโองการ
ให้ข้าหลวงเชิญท้องตราขึ้นไปเมืองนครจำปาศักดิ์ให้หาตัวเจ้านครจำปาศักดิ์ไชยกุมาร
กับหลานซึ่งมีกำลังจะได้ราชการลงมา
เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
เพื่อจะทรงบังคับบัญชาไกล่เกลี่ยการบ้านเมืองเสียให้เป็นปกติเรียบร้อย
ข้าหลวงไปถึงเมืองนครจำปาศักดิ์แล้ว จึงพาตัวเจ้านครจำปาศักดิ์ไชยกุมาร
กับเจ้าหลานสามนายลงมาจากเมืองนครจำปาศักดิ์
เจ้านครจำปาศักดิ์ไชยกุมารป่วยลงกลางทาง ลาข้าหลวงกลับคืนไปรักษาตัวที่เมืองนครจำปาศักดิ์
แล้วป่วยหนักลงถึงแก่พิราลัย เจ้าหลานสามนายลงมากับข้าหลวงจนถึงกรุงเทพมหานคร
ต้องตกค้างอยู่นานเพราะการไม่ตกลงกัน
ก็เพราะเจ้านครจำปาศักดิ์ไชยกุมารถึงแก่พิราลัยลง
แล้วไม่มีผู้เป็นใหญ่ในเมืองนครจำปาศักดิ์
ลาวผู้หนึ่งชื่อนายเชียงแก้วชาวเมืองโขง ตั้งซ่องสุมผู้คนมีกำลังได้มาก
ยกเข้ามาตีเอาเมืองนครจำปาศักดิ์แตกกระจัดกระจาย ครั้งนั้นเจ้าหน้าอยู่บ้านสินท่า
เป็นเชื้อสายสืบวงศ์วานมาแต่เจ้าอุปราชเวียงจันทน์คนเก่า กับท้าวพรหมบ้านเจรแม
และท้าวคำบ้านคงเพนียงพร้อมใจกัน คุมคนไปรบพวกนายเชียงแก้วเอาไชยชะนะได้แล้วรวบรวมไพร่บ้านพลเมืองให้ตั้งอยู่ตามภูมิลำเนาโดยปกติ
รักษาเมืองนครจำปาศักดิ์ไว้
แล้วมีใบบอกลงมายังกรุงเทพมหานครพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทรงพระราชดำริเห็นว่าเจ้าหน้าและท้าวพรหมท้าวคำมีความชอบมาก
จึงมีพระราชโองการดำรัสให้หาตัวลงมา
แล้วทรงแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เป็นเจ้านครจำปาศักดิ์
ท้าวพรหมเป็นพระพรหมราชวงษา
บ้านเจรแมเป็นเมืองคือเมืองอุบล ราชธานี ท้าวคำเป็นพระเทพวงษา
แล้วยกบ้านคงเพนียงเป็นเมืองคือเมืองเขมราช
ให้ขึ้นแก่กรุงเทพมหานครทั้งสามเมือง บ้านสินท่าบ้านเดิมของเจ้าหน้านั้น ก็ให้ยกเป็นเมืองคือเมืองยโสธร
แล้วจึงตั้งท้าวม่วงน้องชายเจ้าหน้าเป็นพระสุนทรราชวงษาเจ้าเมือง
แต่ให้ขึ้นแก่เมืองนครจำปาศักดิ์ เมื่อเจ้าหน้าได้เป็นเจ้านครจำปาศักดิ์แล้ว
ก็ยังหวงซ่อนพระปฏิมากรแก้วผลึกไว้ไม่เชิญลงมา
หรือบอกข่าวลงมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ภายหลังเจ้าหน้าผู้เป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ไม่ชอบใจสถานที่เมืองนครจำปาศักดิ์เก่า
ซึ่งตั้งอยู่ ณ
ตำบลจำปะแต่เดิมนั้นคิดยักย้ายมาตั้งบ้านเมืองใหม่ที่ตำบลบ้านคันตะเกิง
อยู่ฝั่งแม่น้ำของฝ่ายตะวันตก ก่อเป็นกำแพงเมืองมีใบเสมา
และสร้างพระวิหารสถานที่ประดิษฐานพระปฏิมากรแก้วผลึกขึ้นในที่นั้น
แล้วบอกกล่าวป่าวร้องพระสงฆ์สามเณรท้าวเพี้ยราษฎรทั้งปวง
ให้พร้อมกันอัญเชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึก
แห่ออกจากเมืองนครจำปาศักดิ์เก่ามายังเมืองใหม่
แล้วประดิษฐานไว้ในพระวิหารใหม่ซึ่งสร้างขึ้นนั้น
แล้วแบ่งข้าพระพวกที่เจ้านครจำปาศักดิ์ไชยกุมารได้อุทิศถวายไว้แต่ก่อน
ให้ผลัดกันมาพิทักษ์รักษาปฏิบัติอยู่
เจ้าหน้าเจ้านครจำปาศักดิ์กับบุตรหลานท้าวเพี้ยทั้งปวงถือใจว่า
พระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกพระองค์นี้เป็นของสำหรับเมืองนครจำปาศักดิ์มาแต่เดิม
เมื่อไม่มีท้องตราไปแต่กรุงเทพมหานคร บังคับให้ส่งมาก็นิ่งอยู่ ความที่พระพุทธปฏิมากรแก้วมีอยู่ที่เมืองนครจำปาศักดิ์นั้น
ในกรุงเทพมหานครก็ยังไม่มีผู้ใดรู้
จะกล่าวขึ้นให้ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ตลอดแต่ต้นจนสิ้นสุดรัชชกาลแผ่นดินนั้น เจ้าหน้าได้เป็นเจ้านครจำปาศักดิ์
ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณรักษาบ้านเมืองเป็นปกติ ถวายดอกไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการ
ส่งลงมากรุงเทพมหานครทุกปีมิได้ขาด ล่วงกาลนานถึง ๓๐ ปี
จึงป่วยโรคชราถึงแก่พิราลัยลง
ในปีมะเมียนักษัตรโทศกศักราช ๑๑๗๒
ตรงกับปีมีคฤสตศักราช ๑๘๑๐ เป็นปีที่ ๒
ในรัชชกาลแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครั้นเมื่อปีมะแมตรีศกศักราช
๑๑๗๓ ตรงกับปีคฤสตศักราช ๑๘๑๑ เป็นลำดับปีนั้นมา
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทราบความพิราลัยของเจ้านครจำปาศักดิ์
แล้วจึงมีพระราชโองการดำรัสสั่งให้แต่งข้าหลวงเชิญหีบศิลาหน้าเพลิง
และเครื่องไทยธรรมของพระราชทานในการศพเจ้าหน้า ซึ่งเป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ที่ถึงแก่พิราลัยนั้น
ขึ้นไปพระราชทานเพลิง ครั้งนั้นข้าหลวงเมื่อไปถึงเมืองนครจำปาศักดิ์แล้ว
ได้เข้าไปนมัสการพระพุะทธปฏิมากรแก้วผลึก พิเคราะห์ดูเห็นว่าเป็นของดีมาก
ควรที่จะเป็นของต้องพระราชประสงค์ และเป็นสิ่งมิ่งมงคลศรีสวัสดิ์รัตนราชดิลก
เฉลิมกรุงเทพมหานคร
ไม่ควรจะประดิษฐานอยู่ในเมืองนครจำปาศักดิ์เป็นแต่เมืองประเทศราชน้อยจึงได้ไต่ถามความต้นเดิมว่า
พระพุทธปฏิมากรแก้วพระองค์นี้
ได้มีมาอยู่ในเมืองนครจำปาศักดิ์แต่ครั้งใดท้าวเพี้ยทั้งปวงก็แจ้งความตามเรื่องซึ่งบรรยายมาแต่หลัง
ตั้งแต่พรานทึงพรานเทิงได้พระพุทธปฏิมากรแก้วองค์นี้
มาแต่ถ้ำเขาส้มป่อยนายอนนั้นเป็นเดิม มาจนถึงเวลาเมื่อเจ้าหน้าเจ้านครจำปาศักดิ์
เชิญมาประดิษฐานไว้ในพระวิหารนั้นให้ข้าหลวงฟังทราบทุกประการ
ข้าหลวงได้จดหมายไว้แล้ว
จึงชักชวนท้าวเพี้ยทั้งปวงให้พร้อมใจกันเข้าชื่อกับข้าหลวง ลงใบบอกมายังลูกขุน ณ
ศาลา ให้กราบทูลถวายพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึก แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
แล้วข้าหลวงได้มอบให้ท้าวเพี้ยรักษาพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกนั้นไว้
ให้มั่นคงมิให้มีอันตราย แล้วก็คุมใบบอกลงมากรุงเทพมหานครวางยังศาลามหาดไทย
ขอให้กราบทูลพระกรุณา ครั้นเมื่อความในใบบอกนั้นเจ้าพนักงานได้กราบทูลพระกรุณาแล้ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ได้ทรงสดับก็ทรงพระโสมนัสโดยพระราชศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระราชโองการ
ดำรัสให้กรมมหาดไทยมีท้องตราให้ข้าหลวงคุมขึ้นไปสั่งเมืองรายทาง
ให้แต่งที่ทางรับส่งพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึก ด้วยแห่แหนสักการบูชา
และฉลองสมโภชในระยะทางและที่ประทับโดยสมควรทุกเมือง ตามระยะเมืองรายทางตั้งแต่เมืองสระบุรีขึ้นไป
จนถึงเมืองนครจำปาศักดิ์
แล้วให้ข้าหลวงกับท้าวเพี้ยเมืองนครจำปาศักดิ์พร้อมกัน
ทำสักการบูชาสมโภชฉลองพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึก ที่เมืองนคจำปาศักดิ์โดยสมควร
แล้วก็ตั้งกระบวนแห่รับเชิญออกจากเมืองนครจำปาศักดิ์พรักพร้อมด้วยราษฎรที่มีความเลื่อมใสศรัทธามาตามส่งเป็นอันมาก
เจ้าเมืองกรมการแลราษฎรทุกหัวเมืองตามรายทางก็มีความชื่นชมยินดี
ได้แต่งกระบวนการแห่แลการสมโภชสักการบูชามาทุกเมือง ตามระยะทางตลอดเวลาอันควร
จนพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกมาถึงเมืองสระบุรี มีใบบอกลงมากราบทูลพระกรุณา
จึ่งมีพระราชโองการให้เจ้าพนักงานคุมเรือพระที่นั่งศรี
มีเรือดั้งแลเรือเจ้าพนักงานป้องกันขึ้นไปรับ
เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วลงเรือพระที่นั่งศรี ล่องลงมาโดยทางชลมารคแต่เมืองสระบุรีมา
มีกำหนดให้ประทับสมโภชที่กรุงเก่า
แล้วล่วงลงมาประทับที่วัดเขียนตลาดแก้วแขวงเมืองนนทบุรีทันในวันมีมงคลศุภนักขัตตฤกษ์แล้ว
ในกรุงเทพมหานครให้กะเกณฑ์กระบวนมหาพยุหยาตราอย่างใหญ่ เรือพระที่นั่งกิ่ง เรือไชย
เรือพระที่นั่งศรี เรือพระที่นั่งกราบ เรือรูปสัตว์เหราทั้งปวง แลเรือข้าราชการทุกตำแหน่ง
ฝ่ายพระบรมมหาราชวังแลพระบวรราชวัง จัดขะบวนเป็นขะบวน ๆ แห่พระพุทธรูป
ทอดลงมาแต่วัดเขียนตลาดแก้วขะบวนหนึ่งขะบวนเสด็จพระราชดำเนิน
ในพระบรมมหาราชวังขะบวนหนึ่งขะบวนเสด็จพระราชดำเนินในพระบวรราชวังขะบวนหนึ่ง
แล้วให้บอกบุญป่าวร้องพระราชาคณะถานานุกรมเจ้าอธิการ
แลลูกค้าวานิชราษฎรในกรุงเทพมหานคร บรรดาที่มีเรือพายแลกำลังผู้พายจะไปได้
ให้แต่งเครื่องสักการบูชาตั้งแลธงปักในลำเรือ
ไปแห่รับพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกตามศรัทธา
ครั้นเมื่อพระพุทธปฏิมากร
เจ้าพนักงานไปรับมาแต่เมืองสระบุรีถึงวัดเขียนตลาดแก้ว ทันในวันกำหนดพยุหยาตราใหญ่ไปรับแล้วนั้น
เจ้าพนักงานก็เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึก
ขึ้นประดิษฐานบนพานทองใหญ่แล้วเชิญขึ้นตั้งบนบัลลังก์บุษบกพิมาน
ในเรือกิ่งไกรแก้วจักรรัตน์
เป็นเรือพระที่นั่งใหญ่ประดับไปด้วยเครื่องพระอภิรมย์หักทองขวางอย่างเอก
มีพานพุ่มแลเชิงเทียนทอง ตั้งบูชาในชั้นเก็ดพระที่นั่งบุษบกนั้น
แลเรือไชยอื่นก็มีเครื่องสูงแลเครื่องสักการบูชา
ตั้งบนพระที่นั่งบุษบกพิมานทุกลาแวดล้อมเป็นบริวารมีแตรสังข์อยู่ในท้ายเรือกิ่งเรือไชยเป็นที่ให้สัญญา
กลองชะนะในเรือคู่ชักแลเรือดั้งเป็นลำดับมา พร้อมทั้งพิณพาทย์มโหรีดุริยางค์ดนตรีต่าง
ๆ ทุกลำ พลพายเรือขะบวนแห่พระพุทธรูปทั้งเรือนำ
แลเรือตามสวนสอดสวมเสื้อสีงามต่างกัน เจ้าพนักงานรายตีนตอง
แลนักสาตรสำรับเรือกิ่งเรือไชยทุกลำนุ่งสมปักษ์ลายสอดสวมเสื้อครุย
แลพอกเกี้ยวตามอย่างธรรมเนียมพยุหยาตราใหญ่ ทอดไว้คอยรับเสด็จพระราชดำเนิน
ณตำบลวัดเขียนตลาดแก้วแขวงกรุงเทพมหานครกับเมืองนนทบุรีต่อกัน
ครั้นได้เวลาจึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระเลิศเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเรือพระที่นั่งกราบดาดสีลายทอง เสด็จพระราชดำเนินโดยขะบวนมีเรือดั้งตามตำแหน่ง
เรือตำรวจนำแลตามเรือประตูหน้าประตูหลัง แลเรืออาสากลองนำพร้อมอย่างเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานกฐิน
แลขะบวนเสด็จพระราชดำเนินพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวร ฯ
ก็จัดไปพร้อมตามตำแหน่งเหมือนกัน
พระราชวงศานุวงศ์แลเสนาบดีข้าทูลละอองธุลีพระบาทก็โดยเสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือกราบ
ตามบรรดาศักดิ์ทั้งสิ้นพร้อมทั้งเรือโขมดยาพระราชาคณะ แลเรือต่าง ๆ
ของถานานุกรมเปรียญเจ้าอธิการเจ้าคณะแลเรือต่าง ๆ
ของราษฎรขึ้นไปรับถึงตำบลตลาดแก้วพร้อมกัน
ครั้งนั้นเรือขบวนแลเรืออื่นแน่นนันเต็มไปทั้งแม่น้ำ
ครั้นเสด็จพระราชดำเนินถึงขบวนพระพุทธรูปทอดอยู่
ก็ให้ประทับเรือพระที่นั่งเข้าขนานกับเรือพระที่นั่งกิ่งไกรแก้วจักรรัตน์ซึ่งทรงพระพุทธรูปอยู่นั้น
แล้วทรงถวายนมัสการพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึก ทรงจุดเทียนทองธูปกระแจะหอม
แล้วทรงระลึกพระพุทธคุณอุทิศเป็นพุทธบู
ชาแล้วตั้งบนเก็ดหน้าพระที่นั่งบุษบกพิมานซึ่งทรงพระพุทธรูปอยู่
แล้วมีพระราชโองการดำรัสถามเจ้าพนักงานว่า พระพุทธรูปแก้วผลึกองค์นี้เมื่ออยู่เมืองลาวมีเครื่องประดับประดาเป็นอย่างไร
เจ้าพนักงานกราบทูลว่ามีปลอกทองคำประดับด้วยแก้วต่าง ๆ
รัดทับเกษตรอยู่โดยรอบกับเทริดอย่างลาวแลเครื่องประดับทองคำบ้าง
ได้ตามเสด็จพระพุทธรูปมาด้วยจึ่งมีพระราชโองการดำรัสให้เจ้าพนักงานนำเครื่องประดับเดิมออกประดับเข้าในองค์พระปฏิมากรถวายทอดพระเนตร
ครั้นทอดพระเนตรแล้วทรงพระราชดำริว่า เครื่องประดับนั้นเป็นฝีมือลาวรุงรังนัก
เมื่อประดับอยู่ในองค์พระพุทธรูปแห่ลงไปกำบังเนื้อแก้วเป็นของวิเศษเสีย
หางามสมควรไม่ ให้เปลื้องเครื่องตั้งไว้แต่พระองค์เปล่าเห็นเนื้อแก้วปลอดโปร่งตลอดงามดีกว่า
ครั้นทรงมนัส การบูชาแลทอดพระเนตรแล้ว
ก็ให้ปละเรือพระที่นั่งออกตั้งขะบวนแห่พระพุทธรูป
ลงมาในกลางแม่น้ำลำเจ้าพระยาขะบวนเสด็จในพระบรมมหาราชวัง
กระหนาบขะบวนแห่พระพุทธรูปมาโดยฝั่งตะวันออก ขะบวนเสด็จพระราชดำเนินฝ่ายพระราชวังบวร
ฯ กระหนาบขะบวนแห่พระพุทธรูปมาโดยฝั่งตะวันตก ครั้นถึงหน้าท่าราชวรดิษฐ์แล้ว
ให้ประทับเรือพระที่นั่งกิ่งไกรแก้วจักรรัตน์เข้ากับแพขะบวนซึ่งผูกแล้วทอดสมอไว้กลางแม่น้ำ
เพื่อจะให้ราษฎรได้นมัสการทั่วกัน
บรรดาเรือไชยเรือศรีเหรารูปสัตว์ในขะบวนแห่พระพุทธรูปนั้น ก็ให้จอดกับบวบซึ่งทอดไว้เรียงรายแวดล้อมเป็นบริวารเรือพระที่นั่งกิ่งไกรแก้วจักรรัตน์
เหนือน้ำบ้างใต้น้ำบ้างพร้อมทั้งเครื่องสูงแลเครื่องสักการบูชา
เรือเหราเรือรูปสัตว์ซึ่งมีปืนหน้าเรือก็ให้ทอดไว้
เป็นเรือจุกช่องล้อมวงด้านเหนือน้ำด้านท้ายน้ำ มีคนเฝ้าประจำรักษาอยู่ทุกลำ
แลที่บนบวบข้างเรือพระที่นั่งกิ่งไกรแก้วจักรรัตน์ มีราวเทียนกระถางธูป
ตั้งไว้สำหรับรับเทียนรับธูปดอกไม้เครื่องสักการบูชา
โปรดให้พระสงฆ์สามเณรแลราษฎรลงเรือเข้าไปนมัสการใกล้ ๆ ตามปรารถนา
แล้วให้มีงานมหรสพโขนหุ่นละครมอญรำต่าง ๆ ในโรงบนแพบวบทอดรายอยู่เหนือน้ำใต้น้ำบ้างสามวัน
มีดอกไม้เพลิงในเรือดอกไม้ ในกลางคืนด้วยทั้งสามวัน
มีละครข้างในที่โรงเรือริมที่ประทับท่าน้ำด้วยทั้งสามวัน ตั้งแต่วันขะบวนแห่มาถึง
มีพระราชโองการโปรดให้อาราธนาพระราชาคณะ มาสวดพระพุทธมนต์
ที่พระที่นั่งประทับริมน้ำเวลาบ่ายเวลาเช้าพระราชทานบิณฑบาตรทานแลไทยธรรมโดยสมควรแก่พระสงฆ์มีประมาณพอสมควรแก่ที่บนพระที่นั่งที่ประทับริมน้ำนั้น
ผลัดเปลี่ยนต่อไปทั้งสามเวลา
ครั้นการฉลองในน้ำเสร็จแล้ว
มีพระราชโองการให้เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วขึ้นบกโดยท่าราชวรดิษฐ์
แล้วเชิญขึ้นพระยานุมาศ แวดล้อมด้วยขุนนางคู่เคียงอินทร์พรหม
และเครื่องพระภิรมย์เอกหน้าหลัง
แตรสังข์กลองชะนะธงชายธงฉานแห่ขึ้นจากท่าราชวรดิษฐ์ เข้าในพระบรมมหาราชวัง
โดยประตูรัตนพิศาลมาทางหน้าศาลาลูกขุนใน แล้วแห่วงไปโดยถนนริมกำแพง
ข้างวัดพระศรีรัตนศาสนาดารามด้านเหนือ วงไปจนถึงประตูหน้าพระอุโบสถ แล้วเชิญเข้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ประดิษฐานไว้ในพานทองตั้งอยู่บนพระแท่นทอง
แลมีเครื่องนมัสการทองสำรับใหญ่ตั้งบูชาในเบื้องพระพักตร์พระพุทธปฏิมากร
แล้วโปรดให้พระราชวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายใน
มาทำสักการบูชาตามปรารถนาเมื่อเวลาแห่พระพุทธปฏิมากรขึ้นมานั้น
เสด็จประทับอยู่ที่พลับพลาโรงละครด้านตะวันตกวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ให้มีละครข้างในรับเสด็จพระพุทธปฏิมากรเมื่อเวลาแห่นั้นด้วย
ตั้งแต่วันนั้นมาโปรดให้อาราธนาพระสงฆ์ราชาคณะ ถานานุกรมเปรียญ
มีประมาณโดยสมควรแก่ฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มาสวดพระพุทธมนต์เวลาบ่าย
เวลาเช้าขึ้นพระราชทานบิณฑบาตรทานเลี้ยงพระสงฆ์ แล้วพระราชทานไทยธรรมโดยสมควร
ผลัดเปลี่ยนพระสงฆ์ไปทั้งสามวัน เวลาบ่ายก่อนพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์
แลในวันสุดนั้นเจ้าพนักงานได้ตั้งบายศรีเงินบายศรีทองบายศรีแก้ว
แลเสนาบดีมีสกุลเป็นเชื้อพราหมณ์แลเชื้อเจ้านายโบราณ
เบิกแว่นเวียนเทียนรอบพระอุโบสถทั้งสามวัน ในวันทั้งสามนี้นับเป็นสี่
กับทั้งวันเชิญพระพุทธปฏิมาขึ้นแห่เข้าในพระราชวังนั้น มีละครข้างในที่โรงละครใหญ่
แลมีการเล่นต่าง ๆ บนบกแลดอกไม้เพลิงเวลากลางคืน เป็นการสมโภชด้วยทั้ง ๔ วัน ๔ คืน
รวมการสมโภชพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกเมื่อแรกมาถึงเป็นเจ็ดวันเจ็ดคืน
ในงานสี่วันนั้นก็ดี พ้นวันงานวันนั้นไปหลายวันก็ดี พระราชวงศ์ศานุวงศ์
แลข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายใน แล พระภิกษุสงฆ์สามเณรราษฎรเป็นอันมาก
มานมัสการพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกเนือง ๆ ไปหลายวันหลายเวลา
ครั้นชนนมัสการเบาบางช้าไปแล้ว
จึ่งมีพระราชโองการให้เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกนั้นไปประทับไว้ในโรงที่ประชุมช่างอยู่ข้างพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
แล้วเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตร
ให้ช่างจัดเนื้อแก้วผลึกที่เหมือนกับเนื้อแก้วในพระองค์พระพุทธรูป
มาเจียรไนเป็นรูปปลายพระกรรณที่ลิอยู่นั้นต่อติดให้บริบูรณ์แล้ว
ให้ขัดเกลาชักเงาชำระพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึก ให้เกลี้ยงเกลามีเงาขึ้นสนิทเสมอกัน
แล้วทรงพระราชดำริพระราชทานอย่างให้ช่างปั้นฐาน มีหน้ากระดานชั้นสิงห์บัวหงาย
แลหน้ากระดานบนลวดทับหลัง ย่อเก็ดเป็นหลั่น แลมีหน้ากระดานท้องไม้ชั้นรองรับบัวกลุ่มหุ้มรับทับเกษตรแก้วต่อองค์พระพุทธปฏิมา
โดยทรวดทรงสัณฐานที่พึงพอพระราชหฤทัยแล้ว ก็ให้หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์
แต่งให้เกลี้ยงเกลาสนิทแล้วหุ้มด้วยทองคำทำให้เกลี้ยงกวดขึ้นเงางาม
ด้วยชอบพระราชหฤทัย ว่าเนื้อแก้วเกลี้ยงใสสะอาด
ติดต่อกับเครื่องทองอันเกลี้ยงนั้นงามยิ่งนัก เพราะพระราชประสงค์ครั้งนั้น
จะใคร่ให้เนื้อแก้วอันบริสุทธิ์ใสสะอาด ทึบทั้งแท่งนั้นปรากฏตลอดงามดี
แต่ยอดพระรัศมีแลพระศกยังไม่มีต้องอย่างแบบแผนพระพุทธรูป
จึ่งมีพระราชโองการให้ช่างแผ่ทองคำหุ้มส่วนพระเศียรที่มีพระศก
แล้วดุนเป็นเม็ดพระศกเต็มตามที่แล้วต่อกับพระรัศมีลงยาราชาวดี มีเพ็ชรประดับใจกลาง
หน้าหลังแลกลีบต้นพระรัศมี เมื่อเครื่องทองพระศกพระรัศมีเสร็จแล้วถวายสวมลง
พื้นทองแลช่องดุนพระศก ก็มาปรากฏข้างพระพักตร์เป็นรวงผึ้งไป
พระพักตร์ก็เห็นพรรณเหลืองคล้ำไม่ผ่องใสเหมือนสีพระองค์
จึ่งมีพระราชโองการให้ชุมนุมนายช่างที่มีสติปัญญาปรึกษากันคิดแก้ไข
จึ่งปรึกษาตกลงกัน เอาเนื้อเงินไล่ขาวบริสุทธิหุ้มลงเสียก่อนชั้นหนึ่ง
แล้วขัดข้างในให้เกลี้ยงชักเงางามแล้ว จึ่งสวมพระศกทองคำลงชั้นนอกแผ่นเงิน
ก็เห็นพระพักตร์ใสสะอาดขาวนวลดีเสมอกับพระองค์
แล้วมีพระราชโองการให้ทำพระสุวรรณกรัณฑ์น้อยพอจะสอดลงในช่องบนพระจุฬาธาตุ
ได้เป็นที่บรรจุพระบรมธาตุไว้ให้สมควรเป็นอุดมปูชนียวัตถุ
แลให้ทำตัวทองน้อยเท่ากับช่องพระเนตร แล้วลงยาราชาวดีขาวดำ ตามที่พระเนตรขาวดำ
แล้วฝังให้แนบพระเนตรให้งามดีขึ้น เพราะแต่ก่อนนั้นช่องพระเนตรเป็นแต่ขุม
แล้วแลแต้มหมึกแลฝุ่นเป็นขาวดำเท่านั้น ไม่มีผิวเป็นมันมั่นคงเหมือนผิวยาราชาวดี
แลมีพระราชโองการให้ช่างทองทำฉัตรทองคำ ๕ ชั้น ๆ ต้นเท่าส่วนพระอังศา
ลงยาราชาวดีประดับพลอยมีใบโพธิ์แก้วห้อยเป็นเครื่องประดับ
ปลายคันฉัตรปักลงไปในสายยูเนื่องกับฐาน เบื้องพระปฤษฏางค์พระพุทธปฏิมากร แลให้ทำสันถัดห้อยหน้าฐานพระพุทธปฏิมา
ด้วยทองคำจำหลักลายพื้นเป็นทรงเข้าบินมีชายกรวยเชิงงอนแล้วลงยาราชาวดีประดับพลอยเพ็ชร
ครั้นการสำเร็จจึ่งให้เชิญไปประดิษฐานในหอพระเทพาติเทพย์พิมาน
ซึ่งประดิษฐานอยู่ข้างบูรพทิศ ของพระที่นั่งไพศาลทักษิณเป็นที่มนัสการ ข้างในบรรจุพระบรมธาตุไว้สามพระองค์
ในพระสุวรรณกรัณฑ์ซึ่งมีอยู่ในช่องบนพระจุฬาธาตุ
แล้วทรงสักการบูชานมัสการวันละสองเวลาเช้าค่ำมิได้ขาด แลการซึ่งได้ทรงบริจาค
แลพระราชอุสาหในที่ประดับพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึก
ครั้งเป็นประถมเพียงนี้ด้วยพระราชหฤทัยรีบร้อน จะให้การแล้วเร็วทันตามพระราชประสงค์
จะตั้งไว้ทอดพระเนตรนมัสการไปเนือง ๆ
ทรงพระปฏิญญาณว่าจะค่อยทรงพระราชดำริการที่ควร
แล้วจึงจะให้ทำแก้ไขเพิ่มเติมต่อภายหลังตั้งแต่พระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกมาไว้ในพระนคร
แลทรงสักการบูชาดังนี้ ก็ดูประหนึ่งว่าจะเห็นผลเป็นทิฎฐธรรมเวทนีย์มีโชคไชยพระเดชานุภาพพระบารมีจำเริญมากขึ้นไป
ในปีวอกจัตวาศกศักราช ๑๑๗๔
ตรงกับปีมีคฤสตศักราช ๑๘๑๒ ซึ่งเป็นแต่ปีมแมตรีศกนั้นมา
ก็ได้พระยาเศวตกุญชรช้างเผือกพรายมาประดับพระบารมีเป็นศรีพระนครครั้นล่วงข้ามสามปีไปถึงปีชวดอัฏฐศกศักราช
๑๑๗๘ ตรงกับปีมีคฤสตศักราช ๑๘๑๖ แลปีฉลูนพศกศักราช ๑๑๗๙ ตรงกับปีคฤสตศักราช ๑๘๑๗
เป็นปีที่ ๘ ที่ ๙ ในรัชชกาลอันนั้น ก็ได้พระยาเศวตไอยราแลพระยาเศวตคชลักษณ์
เป็นช้างเผือกพรายมีลักษณในกาย เหมือนกันเป็นอันเดียวกับพระยาเศวตกุญชร
มาสู่พระนครเป็นมิ่งมงคลสวัสดิ์ศรีพระบรมมหาราชวัง พร้อมทั้งพระเทพกุญชรช้างเผือกพังเก่า
ซึ่งมาสู่พระนครแต่ปีระกาตรีศกศักราช ๑๑๖๓ ตรงกับปีมีคฤสตศักราช ๑๘๐๑
ก่อนแต่เวลาเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ๘ ปีนั้น
ได้ตั้งโรงเรียงกันเป็นแถวไปในระวางพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
กับพระที่นั่งไพศาลทักษิณ มีแต่ช้างเผือกเอกอุดมทั้งสี่ ไม่มีช้างอย่างอื่นคั่นอนึ่งในปีจอฉศกต่อกันกับปีกุนสัปตศก
เป็นปีที่ ๖ ที่ ๗ แห่งรัชชกาลอันนั้น
มีคนครอบครัวพะม่ารามัญเป็นอันมากกว่าสามหมื่นเศษ ซึ่งเป็นชาวเมืองเมาะตะมะ
แลเมืองใกล้เคียงเป็นข้าแผ่นดินเจ้าอังวะ เมื่อไม่มีใคร
ฝ่ายไทยไปเกลี้ยกล่อมก็พร้อมใจกันสวามิภักดิ์ อพยพยกครอบครัวเข้ามาขอพึ่งพระบารมียอมเป็นข้าแผ่นดิน
เมื่ออ้ายพะม่าข้าศึกคิดอ่านไปสมคบเมืองญวน
ชักชวนให้คิดร้ายต่อกรุงเทพมหานครพะม่าที่ไปนั้นก็มีผู้จับได้นำตัวเข้ามาถวาย
ทำลายความประสงค์ศัตรูเสียได้ เมื่อผู้ครองฝ่ายญวนทราบความไปแล้ว แต่งทูตให้โดย
สารจ้างกำปั่นลูกค้าไปเมืองพะม่า แล้วกลับรับเอาทูตพะม่ามาถึงเมืองเกาะหมาก
กำปั่นลำนั้นก็เกิดเพลิงไหม้ทูตญวนทูตพะม่าแตกกระจัดกระจายกันไป ข้าศึกภายในคือ
ผู้ใดคิดการลอบลักกระทำผิด ๆ ไม่สัตย์ซื่อตรงต่อพระเดชพระคุณ
ความก็ปรากฏอื้ออึงออกเอง จนผู้ผิดนั้นต้องอันตรายไปต่าง ๆ เห็นประจักษ์เป็นหลายเรื่องหลายราย
ลูกค้าวานิชต่างประเทศที่ไม่เคยเข้ามาค้าขายก็เข้ามา
มีเครื่องบรรณาการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ขอพึ่งพระบารมีไปมาค้าขายมากมายหลายพวก
จนสมบัติในพระนครจำเริญขึ้นกว่าแต่ก่อน
ตั้งแต่พระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกพระองค์นี้มาอยู่ในพระนคร เมื่อมีการพระราชพิธีใหญ่
ๆ คือเฉลิมพระที่นั่งใหม่ลงสรงโสกันต์ พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์สำหรับปี
แลพระราชพิธีพิรุณสาตร แลอาพาธวินาศอุทโกสารนะสำหรับการเมื่ออุบัติมีมา
ก็มีพระราชโองการให้เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึก ไปตั้งบนแท่นพระมณฑล
ทำสักการบูชาเสร็จการพระราชพิธีแลเชิญไปเป็นประธาน
ในการที่มีขบวนแห่เรือแลบกตามนิยม การพระราชพิธีนั้น ๆ ทุกครั้ง อนึ่งเวลาใดว่าง ๆ
ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลโดยสำราญพระราชหฤทัย
ก็มีพระราชโองการให้เชิญพระพุทธปฏิมากรแก้ว ไปสมโภชทำสักการบูชาในที่นั้น ๆ เนือง
ๆ นับครั้งไม่ถ้วน
………………………….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น