ราชการสงครามลาวสมัยพระจ้ากรุงธนบุรี
ถ้าจะพูดในเรื่องสายสัมพันธ์ของคนสองฝั่งแม่น้ำโขง
ที่ใกล้ชิดแทบจะแยกกัน ไม่ออกเห็นจะเป็นลาวกับไทยนี่แหละ ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด
อย่างเช่นในยุคสมัยที่ไทย “สยาม” ปกครองแผ่นดินลาวในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ลาวเวลานั้นแบ่งออกเป็น
3 อาณาจักร คืออาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์
และอาณาจักรล้านช้างจำปาสัก
มหาสิลา
วีระวงส์ บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติลาวตั้งแต่โบราณฯ โดยเริ่มจาก
เรื่องราวของอาณาจักรเวียงจันทน์ว่า “เมื่อสมเด็จพระเจ้าสุริยวงสาธรรมิกราชสวรรคตแล้ว
ไม่มีราชโอรสจะสืบแทนเมือง มีแต่พระราชนัดดา 2 องค์น้อยๆ
คือเจ้ากิ่งกีสกุมาร และเจ้า อินทะโสม
เวลานั้นพระยาเมืองจันซึ่งเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ได้ชิงเอาราชสมบัติขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินในปี
ค.ศ.1690 (พ.ศ.2233) พระยาเมืองจันจะรับเอาเจ้านางสุมังคลา
พระราชธิดาสมเด็จพระเจ้าสุริยวงสาธรรมิกราชเป็นภริยาของตน เจ้านางสุมังคลานั้นเป็นแม่หม้าย
มีราชบุตรอยู่องค์หนึ่ง ชื่อว่า เจ้าองค์หล่อ และเวลานั้นก็กำลังทรงครรภ์อยู่อีก
เหตุ นั้นนางจึงไม่ยอมเป็นภริยาของพระยาเมืองจัน
พระยาเมืองจันมีความเคียดแค้นจึงคิดกำจัดเจ้าองค์หล่อและเจ้านางสุมังคลา
เสนาอำมาตย์หมู่หนึ่งที่เป็นฝ่ายของเจ้าองค์หล่อจึงลักเอาเจ้าองค์หล่อ
หนีไปอยู่เมืองภูชุม (เมืองพานพูชมอยู่ในเขต อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี)
ส่วนเจ้านางสุมังคลาได้หนีไปพึ่งพระครู ยอดแก้ววัดโพนสะเม็ก ในเดือน 3 แรม 6 ค่ำ ปีนั้นเอง..”
พระครูยอดแก้วเป็นผู้ที่มีคนเคารพนับถือมาก
พระยาเมืองจันจึงคิดจะกำจัดให้ สิ้นเสี้ยนหนาม แต่พระครูรู้ตัวก่อน
จึงพาญาติโยมกว่าสามพันคน พร้อมด้วยเจ้านางสุมังคลา ล่องลงไปตามลำน้ำโขง
ถึงบ้านงิ้วพันลำสมสนุกก็พาญาติโยมหยุดพักที่นั่น ส่วน
เจ้านางสุมังคลาไปหลบซ่อนอยู่ที่ภูสะง้อหอคำ และประสูตรพระโอรสทรงพระนามว่าเจ้า
หน่อกษัตริย์
สถานการณ์ในเวียงจันทน์
หลังพระยาเมืองจันครองราชย์ได้ 6 เดือน ก็ถูกพรรค พวกเจ้าองค์หล่อยกทัพมาตี
และสังหารพระยาเมืองจัน ยกเจ้าองค์หล่อขึ้นเป็นกษัตริย์
หลังจากนั้นมีการยึดอำนาจและฆ่าฟันกันในราชสำนักเวียงจันทน์ โดยพระเจ้าองค์หล่อ
หลังจากครองราชย์ได้ 4 ปีก็ถูกเจ้านันทะราชยึดอำนาจและประหารชีวิต
ต่อมาพระไชองค์เว้ (โอรสเจ้าชมพู) ที่อยู่เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม
ก็นำกำลังเข้ายึดเวียงจันทน์ สังหารเจ้านันทะราช
และขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่าพระไชยเชษฐาธิราชที่ 2
จนถึงยุคสมัยพระเจ้าองค์บุญ
โอรสพระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 ซึ่งเจ้าพระวอระพิตา เมืองหนองบัวลุ่มภูสนับสนุนจนได้ขึ้นครองอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์
ทรงพระนามว่า พระเจ้าสิริบุญสาร (พระมหาบุญเชษฐาธิราช)
ซึ่งมีเหตุวุ่นวายหลายครั้งหลายหน จนต้อง
เสียเอกราชให้กับพระเจ้ากรุงธนบุรีดังที่กล่าวมาแล้ว
เรื่องราวในรัชสมัยพระเจ้าสิริบุญสารแห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์นี้
มหาสิลา วีระวงส์ ก็ยอมรับว่ามีความสับสนในรายละเอียด
แต่เมื่อดูประวัติศาสตร์ลาวแต่ โบราณฯ ก็พอจับความได้ว่า...
“ต้นเหตุที่พระเจ้าตากสิน
พระเจ้าแผ่นดินสยามที่กรุงธนบุรีได้ให้พระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพมาตีพระนครเวียงจันทน์ในปี
ค.ศ.1778 (พ.ศ.2321) นั้น
ก็เนื่องจากว่า พระเจ้าสิริบุญสารแห่งนครเวียงจันทน์ไม่ได้ปลงใจร่วมมือกับไทยไปปราบพม่า
ทั้งเจ้าสุริยวงศ์แห่งหลวงพระบางก็ฟ้องต่อไทยว่าพระเจ้าสิริบุญสารเป็นใจกับพม่าด้วย
ดั่งนั้นพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรีจึงมีความเคียดแค้นพระเจ้าสิริบุญสารเป็นอันมาก
พอได้โอกาสที่ท้าวก่ำเข้าไปทูลเหตุการณ์ว่าพระเจ้าสิริบุญสารให้กองทัพลงไปทำร้ายบิดาของตนจนถึงแก่ความตาย
และบิดาของตน (คือพระวอระปิตา)
ได้ขอเข้าไปอยู่ใต้ร่มเงาของพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี
พระเจ้าตากสินจึงแต่งให้พระยามหากษัตริย์ศึก (ภายหลังมาได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินไทยองค์ที่
1 ของราชวงศ์จักรีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน) เป็นแม่ทัพใหญ่ยกพลมาทางบก
สมทบกับกำลังพลหัวเมืองฝ่ายตะวันออก มีพล 20,000 คนเศษ
และแต่งให้เจ้าพระยาสุรสีห์ (น้องชายพระยามหากษัตริย์ศึก) ยกทัพ เรือมาทางเขมร
เกณฑ์พลเขมรได้ 10,000 คน ต่อเรือรบยกพลขึ้นมาตามรูแม่น้ำโขงใน
ปี ค.ศ.1778 (พ.ศ.2321) ส่วนกองทัพของพระยามหากษัตริย์ศึกยกมาทางนครราชสีมา
ผ่านมาทางเมืองสุรินทร์ เมืองศรีสะเกษ มาสมทบกับกองทัพเรือที่เมืองจำปาสัก
กองทัพไทยทั้งสองก็เข้ายึดเอาเมืองจำปาสักได้อย่างง่ายดาย
เจ้าไชยกุมารเจ้านครจำปาสักไม่ต่อสู้ ได้หนีไปซ่อนอยู่ดอนไชย
แม่ทัพไทยให้ทหารไปจับมา เจ้าไชยกุมารก็ยอมเป็นเมืองขึ้น ของไทยแต่นั้นมา
ฝ่ายพระยาสุโพแม่ทัพของฝ่ายเวียงจันทน์ที่ลงไปกำจัดพระวอระปิตาซึ่งตั้งอยู่
บ้านดอนมดแดง แขวงจำปาสักนั้น
ครั้นได้ทราบว่ากองทัพไทยยกมาเป็นอันมากเห็นจะสู้ไม่ได้ จึงถอยทัพกลับคืนเวียงจันทน์
กราบทูลพระเจ้าสิริบุญสารให้ทราบทุกประการ
พระเจ้าสิริบุญสารจึงจัดแจงป้องกันพระนคร และจัดกองทัพออกไปตั้งรับกองทัพไทย
อยู่เมืองพันพร้าว เมืองพะโค เวียงคุก เมืองหนองคาย จนถึงเมืองนครพนม
กองทัพไทยเข้าตีเมืองนครพนมแตก พระบรมราชา
(กู่แก้ว)
เจ้าเมืองนครพนม
ยกครอบครัวไปตั้งค่ายอยู่บ้านดอนหมู ได้ 5 คืนก็เลยถึงแก่กรรมที่นั่น
แล้วกองทัพไทยก็ ยกพลขึ้นมาถึงเมืองหนองคาย เข้าตีเอาเมืองหนองคายได้
เมื่อได้เมืองหนองคายแล้วก็ยกพลมาตั้งล้อมเมืองพะโคและเวียงคุกไว้
พวกชาวเมืองพะโคและเวียงคุกได้ต่อสู้และป้องกันเมืองไว้อย่างแข็งแรง
กองทัพไทยเข้าตีเอาเมืองไม่ได้
แม่ทัพไทยจึงทำกลอุบายให้ทหารจับเอาราษฎรเมืองหนองคายเป็นอันมากมาตัดคอเอาแต่หัวใส่เรือไปเต็ม
แล้วให้แม่หญิงเมืองหนองคายพายขึ้นมาร้องขายหัวคนอยู่ตามเลียบท่าเมืองพะโคและเวียงคุก
พวกชาว เมืองเห็นดั่งนั้นก็มีใจสั่นสะท้านหวาดกลัวเป็นอันมาก
กองทัพไทยจึงเข้าตีเอาเมืองพะโค และเวียงคุกได้
แล้วก็เลยขึ้นมาตั้งล้อมเมืองพันพร้าวไว้ กองทหารเมืองพันพร้าวได้ทำการ
ต่อสู้อย่างแข็งแรง กองทัพไทยไม่สามารถตีเอาเมืองได้ เป็นแต่ตั้งล้อมไว้จนถึงปี
ค.ศ.1779
เวลานั้น ฝ่ายเจ้าสุริยวงศ์แห่งนครหลวงพระบาง ได้ทราบว่ากองทัพไทยขึ้นมาตี
เวียงจันทน์ก็ดีใจ
เพราะเจ้าสุริยวงศ์มีความเคียดแค้นให้พระเจ้าสิริบุญสารว่านำเอาพม่ามาตีนครหลวงพระบาง
เจ้าสุริยวงศ์จึงมีหนังสือไปบอกพระเจ้าแผ่นดินไทย ขันอาสาเข้า
ตีเวียงจันทน์ทางด้านเหนือ แล้วพระเจ้าสุริยวงศ์ก็พาเอาทหาร 3,000
คน ลงมา ตั้งล้อมเมืองเวียงจันทน์ไว้ทางด้านหลัง
พระเจ้าสิริบุญสารเห็นศึกขนาบข้างทางด้านหน้า และหลังเห็นเหลือกำลัง
จึงให้ทิ้งเมืองพันพร้าว ข้ามมารวมกันอยู่เวียงจันทน์ กองทัพไทย
จึงเข้าเมืองพันพร้าวได้ แล้วยกพลข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งค่ายอยู่ทางด้านตะวันออกเวียงจันทน์
พระเจ้าสิริบุญสารจึงแต่งให้พระนันทะเสนราชโอรสเป็นแม่ทัพ คุมทหารออกไปตีกองทัพไทย
เจ้านันทะเสนขี่ช้างพลายคำสูงหกศอกสามนิ้วออกรบ ตั้งแต่รบกันมา 4 เดือนเศษกองทัพไทยก็ยังไม่สามารถเข้าตีเอาเมืองได้
แต่พระเจ้าสิริบุญสารเห็นว่าจะสู้ศัตรูต่อไปไม่ไหว จึงพาเอาเจ้าอิน
เจ้าพรมราชโอรสและคนสนิทลงเรือล่องหนีไปเมืองคำเกิดในเวลากลางคืน
ฝ่ายเจ้านันทะเสนได้ทราบข่าวว่าพระราชบิดาหนีไปแล้วก็เสียพระทัย
จึงตกลงเปิดประตูเมืองยอมให้กองทัพไทยเข้าเมืองได้ ในวันจันทร์ เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีกุน จ.ศ.1141 (ค.ศ.1779)
พ.ศ.2322
เมื่อกองทัพไทยเข้าเมืองได้แล้วก็จับเอาเจ้านันทะเสน เจ้าอุปราชวังหน้า
และนางแก้วยอดฟ้ากัลยานีสรกษัตริย์ พระราชธิดาของพระเจ้าสิริบุญสาร ตลอดจน
พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
สาวสนมนอกในไว้หมดแล้ว ก็กวาดเก็บเอาทรัพย์สินข้าวของทั้งมวลอันมีค่าในพระคลังหลวง
และของประชาราษฎรทั้งหลาย พร้อมด้วยพระแก้วมรกตและพระบางอันมีค่าของมิ่งเมืองลาว
กวาดเอาครอบครัวคนลาวชาวเวียงจันทน์ ข้ามไปไว้เมืองพันพร้าว
แล้วแม่ทัพไทยจึงให้สร้างหอพระแก้วขึ้นไว้ที่เมืองพันพร้าวเป็นการชั่วคราว
และพร้อมกับการตีเวียงจันทน์ได้นี้ แม่ทัพไทยก็บังคับให้เจ้าสุริยวงศ์
เจ้านครหลวงพระบางยอมอ่อนน้อมต่อไทย และเป็น
เมืองขึ้นของไทยดั่งเดียวกับเวียงจันทน์
ถึงเดือนยี่
แม่ทัพไทยจึงตั้งพระยาสุโพอยู่รักษาเมือง แล้วไทยก็กวาดเอาครอบ ครัวลาวเวียงจันทน์
พร้อมด้วยพระราชบุตร พระราชธิดา วงศานุวงศ์ ขุนนาง ท้าวพระยา
พ่อค้าเศรษฐีคหบดีชาวเวียงจันทน์ ทั้งพระแก้วพระบางลงไปเมืองบางกอก
เดือนยี่แรมลงไปถึงเมืองสระบุรี
แม่ทัพไทยจึงให้ครอบครัวลาวหลายหมื่นครอบครัวตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น
เอาลงไปบางกอกแต่ครอบครัวเชื้อแนวกษัตริย์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น....”
หนังสือประวัติศาสตร์ลาวแต่โบราณฯ
เรียกกองทัพกรุงธนบุรีในเวลานั้นว่ากองทัพ “ไท” บางทีก็ใช้
“ไทย์” คงจะให้เข้าใจได้ง่ายในยุคสมัยปัจจุบัน
เพราะสมัยก่อนนั้นเรายังไม่ใช้คำว่าไทยเป็นชื่อรัฐชาติของเรา
ผมคัดลอกมาไว้ให้เห็นรายละเอียดของเหตุการณ์ตามที่มหาสิลา
วีระวงส์ บันทึก ไว้
รวมทั้งน้ำเสียงที่อยากสั่งสอนคนลาวให้สำเหนียกในประวัติศาสตร์ที่ว่าทำไมลาวจึงตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม
“ราชอาณาจักรลาวทั้งสาม คืออาณาจักรนครจำปาสักของเจ้าไชยกุมาร
อาณาจักร เวียงจันทน์ของเจ้าสิริบุญสาร และอาณาจักรหลวงพระบางของเจ้าสุริยวงศ์
จึงได้เสีย เอกราชให้แก่ไทย (กรุงธนบุรี-ผู้เขียน) ลงพร้อมกันในปี ค.ศ.1779 (พ.ศ.2322)
เพราะ ความไม่ถูกต้องปรองดองกัน
อิจฉาบังเบียดเคียดแค้นให้กันของเจ้านายลาว ด้วยประการดั่งนี้” ( มหาสิลา วีระวงส์ หนังสือประวัติศาสตร์ลาวแต่โบราณถึง 1946 หน้า 114-116)
ภายหลังจากราชการสงครามคราวนั้น
อันทำให้อาณาจักรลาวทั้ง 3 อาณาจักร ตกอยู่ภายใต้การปกครองของสยามถึง
114 ปี ยังมีเกล็ดประวัติศาสตร์ที่ทางลาวบันทึกไว้
และน่าสนใจอยู่หลายเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องราวสายสัมพันธ์โขงสองฝั่งที่ไม่จำเพาะแต่ลาว-ไทย
แต่เกี่ยวพันไปถึงชาติประเทศอื่นๆ ในลุ่มแม่น้ำโขงทั้งมวล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น