พงษาวดารเมืองหลวงพระบาง
ตามฉบับศาลาลูกขุน
แต่ครั้งศักราช
๒๓๖ พระวัสสา มีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อว่าพระจุลนาคเถรอยู่ในเมืองลังกาทวีป
ประกอบด้วยพระไตรปิฏกคิดจะให้พระสาสนารุ่งเรืองไปตราบเท่าถ้วนถึง ๕๐๐๐ พระวัสสา
พระองค์จึงพิเคราะห์ด้วยเหตุจะสร้างรูปพระปฏิมากร จึงให้คนไปป่าวร้องชาวเมืองลังกาทวีปให้มาพร้อมกันแล้ว
ให้ช่างปั้นรูปพระพุทธเจ้ายกพระหัดถ์ทั้งสองขึ้นห้าม เมื่อพระยากบิลพัสดุ์
พระยาโกลีย ยกไพร่พลมารบกันริมน้ำโรหินี (ปางห้ามญาติ)ครั้นปั้นเสร็จแล้ว
คนทั้งหลายก็เอาเงินแลทองคำ, แลทองแดง,
ทองเหลืองมาให้พระจุลนาคเถรหล่อรูปพระปฏิมากร
แล้วชาวเมืองลังกาก็พากันทำสักการบูชาต่าง ๆพระจุลนาคเถร
พระยาลังกาพร้อมกันยกเอารูปพระปฏิมากรขึ้นตั้งไว้ในปราสาทขนานนามตั้งว่าพระบาง
แล้วพระจุลนาคเถรจึงเชิญพระบรมธาตุ ๕ พระองค์
ใส่ผอบแก้วขึ้นตั้งไว้บนอาศนทองตรงพระภักตร์พระบาง
อธิฐานว่าพระบางองค์นี้จะได้เปนที่ไหว้ ที่บูชาแก่เทพยดามนุษย์ทั้งหลายถาวรสืบไปถึง
๕๐๐๐ พระวัสสา ก็ขอให้พระบรมธาตุ ๕ พระองค์เสด็จเข้าสถิตย์อยู่ในรูปพระบางนั้น
แล้ว พระบรมธาตุเสด็จเข้าอยู่ที่พระนลาตองค์ ๑ อยู่ที่พระหณุองค์๑
อยู่ที่พระอุระองค์๑ อยู่พระหัตถ์เบื้องขวาองค์๑ อยู่พระหัดถ์เบื้องซ้ายองค์ ๑
แล้วพระบางก็ทำปาฏิหารมหัศจรรย์ต่างๆ ได้มีการสมโภช๗ วัน ๗ คืน
ครั้นพระสาสนาล่วงมาถึง ๔๑๘ พระวัสสา พระยาสิบินราชได้เปนพระเจ้าแผ่นดินเมืองลังกาทวีป
พระยาศรีจุลราชได้เปนเจ้าแผ่นดินเมืองอินทปัตนคร
มีความเสนหารักใคร่แก่กัน พระยาศรีจุลราช
จึงแต่งราชทูตถือพระราชสาสนลงสำเภาไปยังเมืองลังกาทวีป ขอเชิญพระบางมาทำสักการบูชา
พระยาสุบินราชจึงเชิญพระบางมอบ ให้ราชทูตไปยังเมืองอินทปัตนคร
แล้วเจ้าเมืองอินทปัตนครแห่พระบางขึ้นไว้ในพระวิหารกลางเมือง มีการสมโภช ๗ วัน ๗
คืนพระบางนั้นสูงแต่ฝ่าพระบาทถึงยอดพระเมาฬีสองศอกเจ็ดนิ้ว
ทองหนัก ๔๒ ชั่ง ๑ ตำลึง
เดิมเมืองหลวงพระบางเรียกว่าเมืองศรีสัตนคนหุตล้านช้างร่มขาว
เปนเมืองขึ้นกรุงปักกิ่ง มีเจ้าเมืองครอบครองบ้านเมืองต่อ ๆ กันมาครบ ๕
ปีต้องจัดเครื่องราชบรรณาการไปถวายครั้งหนึ่ง
ครั้นศักราช ๖๗๘ ปีเถาะอัฐศก พระยาสุวรรณคำผงได้เปนเจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ ขุนยักษ์ฟ้า ๆ ทำชู้ด้วยภรรยาพระยาสุวรรณคำผง ๆ
ขับไล่ขุนยักษ์ฟ้าไปเสียจากบ้านเมือง ขุนยักษ์ฟ้าพาภรรยากับบุตรคนหนึ่งชื่อ ท้าวฟ้างุ้ม
ไปอยู่เมืองอินทปัตนคร
ท้าวฟ้างุ้มได้นางคำยักษ์บุตรพระยาศรีจุลราชเจ้าเมืองอินทปัตนครเปนภรรยา
อยู่มาเจ้าเมืองอินทปัตนครเกณฑ์กองทัพให้ท้าวฟ้างุ้ม
ยกขึ้นไปถึงเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
ครั้งนั้นท้าวคำย่อบุตรเจ้าเมืองพวนทำชู้ด้วยภรรยาของบิดา
กลัวบิดาจะฆ่าเสีย
หนีลงมาพึ่งท้าวฟ้างุ้มขอกองทัพยกขึ้นไปตีเมืองพวนได้แล้วจะยอมเปนเมืองขึ้น
ท้าวฟ้างุ้มจึงยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองพวน ยิงปืนใหญ่น้อยสู้รบโต้ตอบกันเปนสามารถ
พวกเมืองพวนทนฝีมือไม่ได้ก็แตกกระจัดกระจายไป กองทัพท้าวฟ้างุ้มเข้าหักเอาเมืองได้
จึ่งตั้งท้าวคำย่อเปนเจ้าเมืองพวน เรียกว่าพระยาคำย่อ
ท้าวฟ้างุ้มกับพระยาคำย่อ ยกกองทัพกลับลงมาเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
จึงแต่งคนถือหนังสือไปถึงพระยาสุวรรณคำผงผู้เปนปู่ว่า
จะขอเอาราชสมบัติในเมืองศรีสัตนาคนหุต
พระยาสุวรรณคำผงจึงเกณฑ์กองทัพออกรบต้านทานสู้กองทัพท้าวฟ้างุ้มไม่ได้
พระยาสุวรรณคำผงผูกฅอตายเสีย ท้าวฟ้างุ้มได้ครองเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
เรียกว่า
พระยาฟ้างุ้ม
หัวเมืองใดตั้งขัดแข็งก็ยกกองทัพไปตีได้มาเปนเมืองขึ้นหลายเมือง
แต่เมืองไผ่หนามปลูกก่อไผ่เปนระเนียด จะยิงปืนเท่าใดก็ไม่อาจทำลายได้
พระยาฟ้างุ้มจึงให้ทำกระสุนปืนด้วยทองคำยิงเข้าไปในเมือง แล้วผิตี่เลิกทัพกลับไป
ราษฎรในเมืองไผ่หนามก็พากันถางกอไผ่เอากระสุนปืนทองคำ แล้วพระยาฟ้างุ้มกลับยกกองทัพมาตีก็หาแพ้ชะนะกันไม่
เจ้าเมืองไผ่หนามกับพระยาฟ้างุ้มยอมเปนทางไมตรีแก่กัน จึ่งเปลี่ยนชื่อพระยาเภาเจ้าเมืองไผ่หนามเปนพระยาเวียงคำ
ตามเหตุที่ได้เอากระสุนปืนทองคำ ยิง
อยู่มาเจ้าเมืองอินทปัตนครให้หาพระยาฟ้างุ้มบุตรเขย ลงไปเมืองอินทปัตนคร
ให้โอวาทสั่งสอนไม่ให้ยกกองทัพไปเที่ยวตีนานาประเทศ
ให้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมรับศีลห้าในพระวิหารพระบาง
แล้วยกเขตรแขวงเมืองอินทปัตนคร ตั้งแต่ลี่ผีขึ้นไปให้ขึ้นเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
แล้วพระยาฟ้างุ้มขอเชิญพระบางขึ้นไปเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาวด้วย
ครั้นขึ้นไปถึงเมืองเวียงคำ พระยาเวียงคำขอเชิญพระบางไว้ทำสักการบูชา
พระยาฟ้างุ้มจึงพา ไพร่พลขึ้นในเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
พระยาฟ้างุ้มมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อท้าวอุ่นเรือน
อยู่มาพระยาฟ้างุ้มไม่ตั้งอยู่ในสัตย์ธรรม ข่มเหงเอาภรรยาท้าวพระยามาเปนภรรยาของตัว
ท้าวพระยาจึงพร้อมกันขับไล่ พระยาฟ้างุ้มหนีไปพึ่งพระยาคำตันเมืองน่าน
พระยาฟ้างุ้มครองเมืองได้ ๔๑ ปี รวมอายุได้ ๗๐ ปีถึงแก่กรรมที่เมืองน่าน
ศักราช ๗๓๕ ปีชวดเบญจศก
ท้าวพระยาพร้อมกันยกท้าวอุ่นเรือนบุตรพระยาฟ้างุ้มขึ้นครองเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
เรียกว่าพระยาสามแสนไทยไตรภูวนารถธิบดีศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
ท้าวอุ่นเรือนมีบุตรชาย ท้าวล้านคำแดง ๑ ท้าวคำปาก ๑
ท้าวฦาไชย ๑ ท้าวไชยสาร ๑ ท้าวฟ้ากริ่ม ๑ ท้าวหมื่นไชย ๑ ท้าวราชแสนไท ๑ เจ็ดคน
ครั้งนั้นบ้านเมืองไม่มีทัพศึก พระยาสามแสนไทครองเมืองได้ ๔๓ ปี รวมอายุ ๖๐
ปีถึงแก่กรรม
ศักราช ๗๗๘ ปีมแมอัฐศก
ท้าวล้านคำแดงบุตรพระยาสามแสนไทที่ ๑ ได้ครองเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
ครั้งนั้นบ้านเมืองก็ไม่มีเหตุการสิ่งใด ท้าวล้านคำแดงมีบุตรชายท้าวยุขอน ๑
ท้าวพรหมทัต ๑ ท้าวล้านคำแดงครองเมืองได้ ๑๑ ปี รวมอายุได้ ๕๐ปี ถึงแก่กรรม
ศักราช ๗๘๙ ปีมะเมียนพศก
ท้าวพระยาพร้อมกันตั้งท้าวฦาไชยบุตรพระยาสามแสนไทที่ ๓
เปนพระไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้วเจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาวต่อมา
ท้าวฦาไชยมีบุตรชาย ท้าวแท่งคำ ๑ ท้าวภูเพ ๑ สองคน แล้วพระไชย
จักพรรดิแผ่นแผ้วให้ท้าวพระยาลงไปเชิญพระบาง ณ เมืองเวียงคำ
ใส่เรือขึ้นมาถึงแก่งจันใต้เมืองเชียงคานเรือล่มพระบางจมน้ำหายไป
อยู่มาพระบางก็กลับไปประดิษฐานอยู่ในพระวิหารเมืองเวียงคำดังเก่า
แล้วญวนชื่อองบัวขว้างซุนเนิก
ยกกองทัพมาตีเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
พระไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้วจัดกองทัพออกรบรับไม่ชนะ
ต้องพาครอบครัวหนีลงมาเมืองเชียงคาน
แล้วแต่งท้าวแท่งคำบุตรคุมกองทัพไปตีทัพองบัวขว้างซุนเนิกทนฝีมือไม่ได้แตกกระจัดกระจายไป
พระไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้วครองเมืองได้ ๔๒ ปี รวมอายุ ๖๕ ปี
ถึงแก่กรรมที่เมืองเชียงคาน
ครั้นศักราช ๘๓๑ ปีฉลูเอกศก
ท้าวแท่งคำบุตรพระไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้วที่ ๑
ได้เปนเจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว เรียกว่าพระยาสุวรรณปาหลัง ครองเมืองได้
๗ ปี ไม่มีบุตร อายุได้ ๔๑ ปี ถึงแก่กรรม
ศักราช ๘๓๘ ปีวอกอัฐศก
ท้าวพระยาพร้อมกันยกท้าวราชแสนไทบุตรพระยาสามแสนไทที่ ๗ เปนพระยาล่าน้ำแสนไทไตรภูวนารถเจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
แล้วให้ท้าวพระยาไปเชิญพระบางที่เมืองเวียงคำ
มาไว้วัดเชียงกลางเมืองศรสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
พระยาล่าน้ำแสนไทจึงสร้างพระวิหารหลังหนึ่งชื่อวัดมโนรมย์
เชิญพระบางมาประดิษฐานไว้ในวิหาร พระยาล่าน้ำมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อท้าวชมภู
พระยาล่าน้ำครองเมืองได้๑๕ ปี รวมอายุ ๓๓ ปีถึงแก่กรรม
ศักราช ๘๕๓ ปีกุนตรีศก
ท้าวชมภูบุตรพระยาล่าน้ำได้เปนเจ้าเมือง ๕ ปี ไม่มีบุตร อายุได้ ๑๕ ปีถึงแก่กรรม
ศักราช ๘๕๘ ปีมโรงอัฐศก
ท้าวพระยาพร้อมกันยก ท้าวภูเพบุตรพระไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้วที่ ๒ เปนเจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
เรียกว่าพระยาวิชุลราชธิบดี ๆ สร้างพระอุโบสถหลังหนึ่ง
เชิญพระบางประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ วัดวิชุลราช
พระยาวิชุลราชมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อท้าวโพธิสาระ พระยาวิชุบราชครองเมืองได้ ๒๐
ปีรวมอายุ ๕๓ ปีถึงแก่กรรม
ศักราช ๘๗๘ ปีชวดอัฐศก
ท้าวโพธิสาระบุตรพระยาวิชุลราชได้เปนเจ้าเมือง เรียกว่าพระยาโพธิสาระล้านช้างร่มขาว
อยู่มาพระแซกคำเดิมอยู่ในพระวิหารวัดเมืองเชียงใหม่
เสด็จมาประดิษฐานอยู่ร่วมแท่นใหญ่กับพระบางที่วัดวิชุลราชธาราม
เมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว พระยาพรหมราชเจ้าเมืองเชียงใหม่รู้ว่าพระแซกคำหายไป
จึงแต่งให้แสนท้าวคุมไพร่ ๒๐ คนไปเที่ยวหาตามหัวเมืองนานาประเทศ
จึงแต่งให้แสนท้าวคุมไพร่ ๒๐ คนไปเที่ยวหาตามหัวเมืองนานาประเทศ
มาพบพระแซกคำอยู่ในพระอุโบสถวัดวิชุลราชธาราม ครั้นดึกประมาณ ๒ ยามเสศ
คนเมืองเชียงใหม่พากันตัดน่าต่างเข้าไปยกเอาพระแซกคำ
พวกซึ่งรักษาอุโบสถตื่นขึ้นจับพวกเมืองเชียง ใหม่ได้ทั้ง ๒๐ คน
พระยาโพธิสาระให้ยกโทษเสีย ปล่อยตัวกลับไปเมืองเชียงใหม่
พระยาพรหมราชเจ้าเชียงใหม่ทราบว่าเจ้าเมืองหลวงพระบางตั้งอยู่ในยุติธรรมเห็นแก่รพะยาพรหมราชจึงปล่อยตัวพวกซึ่งทำความผิดมาดังนี้ก็มีบุญคุณมาก
จึงแต่งให้ท้าวพระยาพานางยอดคำบุตรไปยกให้เปนภรรยาพระยาโพธิสาระ
ๆ มีบุตรชาย เจ้าเชษฐวงษา ๑ เจ้าทาเรือ ๑
เจ้าวรวังโส ๑ สามคน บุตรหญิงนางแก้วกุมรี ๑ นางคำเหลา ๑ นางคำไป ๑ สามคน รวม
๖ คน อยู่มาพระยาพรหมราชเจ้าเมืองเชียงใหม่ถึงแก่กรรม ท้าวพระยาเมืองเชียงใหม่นำความมาแจ้งแก่พระยาโพธิสาระ
เจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว แลขอเจ้าเชษฐวงษาบุตรพระยาโพธิสาระที่ ๑
ขึ้นไปเปนเจ้าเมืองเชียงใหม่ เรีกว่าพระยาไชยเชษฐาธิราชพระยาโพธิสาระครองเมืองได้
๒๘ ปี รวมอายุ ๔๒ ปีถึงแก่กรรม
ศักราช ๙๐๖ ปีมะโรงฉศก พระไชยเชษฐาธิราชจึงมอบเมืองเชียงใหม่ให้ท้าวพระยาอยู่รักษา
พระไชยเชษฐาธิราชลงมาครองเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว แล้วเชิญพระแก้วมรกฏ
เมืองเชียงใหม่ลงมาไว้เมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
พระไชยเชษฐาธิราชครองเมืองได้๖ปี
ครั้นศักราช๙๑๒ ปีจอโทศก
พระไชยเชษฐาธิราชจึงแต่งท้าวพระยาถือพระราชสาสน
คุมเครื่องราชบรรณาการลงมากรุงศรีอยุทธยา
ขอพระราชธิดาสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช พระเจ้าช้างเผือก ทรงนามว่าพระเทพกระษัตรี
ขึ้นไปเปนปิ่นสุรางค์กัลยาในเมืองศรีสัตนาคนหุต
สมเด็จพระเจ้าช้างเผือกจึงมีพระราชสาสนตอบขึ้นไปว่า ซึ่งเจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุต
มีพระไทยจะร่วมพระราชโลหิตเปนสัมพันธมิตรไมตรีนั้นก็อนุญาตให้แต่งผู้คนสิ่งของลงมารับเถิด
พระไชยเชษฐาธิราชจึ่งแต่งทูตา นุทูตกับไพร่ ๕๐๐ ท้าวพระยานางเถ้าแก่ลงมารับ
สมเด็จพระเจ้าช้างเผือกจึงส่งพระราชธิดาชื่อพระแก้วฟ้า
ให้แก่ท้าวพระยาขึ้นไปเมืองศรีสัตนาคนหุต
พระไชยเชษฐาธิราชรู้ว่าไม่ใช่องค์พระเทพกระษัตรีก็เสียใจ
จึงมีราชสาสนคุมเครื่องราชบรรณาการให้ราชทูตท้าวพระยานำแก้วฟ้าลงมาส่งยังกรุงศรีอยุทธยา
ในพระราชสาสนนั้นว่า เดิมพระองค์ประสาทพระเทพกระษัตรีให้
กิติศัพท์เล่าฦาทั้งประเทศเมืองศรีสัตนาคนหุต แล้วพระองค์ส่งพระแก้วฟ้าราชบุตรีขึ้นมานั้น
ครั้นจะรับไว้ก็เปนที่อัปรยศแก่ท้าวพระยาแลราษฎรเมืองศรีสัตนาคนหุต
ขอส่งพระแก้วฟ้าคืน จงพระราชทานพระเทพกระษัตรีตามอนุญาตแต่ก่อน
ในศักราช ๙๑๒ ปีจอโทศกนั้น
พระไชยเชษฐาธิราชได้ขึ้นไปครองเมืองเชียงแสน ครั้นศักราช ๙๑๓ ปีกุนตรีศก
สมเด็จพระเจ้าช้างเผือกจึงส่งพระเทพกระษัตรี
ให้ราชทูตท้าวพระยานำขึ้นไปถึงนอกด่านเมืองเพชรบูรณ์
สมเด็จพระเจ้าหงษาวดีจึงแต่งให้นายทัพนายกองมาตีชิงเอาพระเทพกระษัตรีไปได้
พระไชยเชษ
ฐาธิราชรู้ความแล้วก็โกรธว่าซึ่งพระเจ้าหงษาวดีแต่งรี้พลมาแย่งชิงเอาพระเทพกระษัตรีไปทั้งนี้
ก็เพราะเมืองพระพิศณุโลกเปนต้นคิด จำจะแก้แค้นให้จงได้
จึงเกณฑ์ช้างม้ารี้พลจะยกไปเอาเมืองพระพิศณุโลก
สมเด็จพระเจ้าช้างเผือกทราบความก็ตรัสห้าม จึง มิได้ยกไป
จุลศักราช ๙๑๔ ปีชวดจัตวาศก
พระมหานทราธิราชพระราชบุตรสมเด็จพระเจ้าช้างเผือก ได้ราชสมบัติในกรุงศรีอยุทธยา
ส่งข่าวลับขึ้นไปถึงเมืองศรีสัตนาหุต
ว่าให้ยกกองทัพลงมาช่วยกองทัพกรุงศรีอยุทธยาตีกระหนาบเอาเมืองพระพิษณุโลกพระไชยเชษฐาธิราช
จึงเกณฑ์ช้างม้ารี้พลลงมาทางเมืองนครไทยถึงเมืองพระ พิศณุโลกให้พระยาสุรินทร์คว่างฟ้า
พระยามือไฟ พระยามือเหล็ก ออกตั้งค่ายใกล้เมืองประมาณ ๔๐ เส้น ๕๐ เส้น
ฝ่ายพระมหินทราธราชกรุงศรีอยุทธยาก็ยกทัพเรือขึ้นไปตั้งอยู่ปากน้ำพิงค์
พระไชยเชษฐาธิราชจึงให้ไพร่พลทหารเข้าปีนเมือง เหลือกำลังไพร่พลหักเอาเมืองไม่ได้
จึงให้ข้ามคูเข้าไปขุดกำแพงเมืองพระพิษณุโลก
ฝ่ายพระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองพระพิศณุโลก
ให้ทหารออกทลวงฟันพลเมืองศรีสัตนาคนหุตต่อกำลังมิได้ก็ถอยออกไปตั้งมั่นอยู่ในค่าย
แล้วพระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองพระพิศณุโลกจึงเกณฑ์ให้เอาไม้ไผ่ทำแพเอาไฟจุดลอยลงไป ถึงกองทัพเรือพระมหินทราธิราชมิทันรู้ตัว
ไพร่พลแตกตื่นพากันลงเรือทันบ้างมิทันบ้าง เสียเรือแลไพร่พลเปนอันมาก
ฝ่ายเจ้าเมืองหงษาวดีรู้ข่าวว่า เมืองพระพิศณุโลก เกิดศึก
จึงเกณฑ์กองทัพให้ลงมาช่วยตีหักเอาค่ายพระยามือเหล็กได้ก็เข้าไปในเมืองพระพิศณุโลก
แล้วกองทัพเรือสมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุทธยาก็เลิกทัพกลับลงไป
พระไชยเชษฐาธิราชรู้ว่ากองทัพกรุงศรีอยุทธยาเลิกไปแล้ว ก็ล่าทัพขึ้นไปทางด่านชมภู
ให้พระยาแสนสุรินทร์คว่างฟ้า พระยามือเหล็กพระยามือไฟอยู่รั้งหลัง
ไปถึงวารีทางช่างแคบ จึงแต่งทหารซุ่มไว้สองข้างทาง แล้วยกพลทหารเข้าไปตั้งข้างในไกลกันประมาณ
๓๐ เส้น ๔๐ เส้น คอยตีทัพซึ่งจะติดตามไป
ฝ่ายทัพเมืองหงษาวดีที่มาช่วยเมืองพระพิศณุโลกยกติดตามไปถึงวารีทางแคบก็ล่วงเข้าไปถึงทัพใหญ่
ฝ่ายทหารกองซุ่มได้ทีก็ตีกระหนาบสู้รบกันถึงอาวุธสั้นกองทัพเมืองหงษาวดีแตกฉานหนีไป
ผู้คนล้มตาย เก็บได้ช้างม้า เครื่องสาตราวุธเปนอันมาก
ครั้นถึงศักราช ๙๑๗ ปีเถาะสัปตศก
พระเจ้าหงษาวดียกกองทัพลงมาล้อมกรุงศรีอยุทธยา
สมเด็จพระมหินทราธราชจึงมีศุภอักษรขึ้นไปถึงกรุงศรีสัตนาคนหุต ขอกองทัพลงมาช่วย
พระไชยเชษฐาธิราชทราบแล้ว จึงให้เกณฑ์กองทัพประมาณห้าหมื่นพร้อมด้วยช้างม้าเครื่องสาตราวุธยกลงมาถึงเมืองเพ็ชรบูรณ์
พระเจ้า หงษาวดีคิดอุบายมีศุภอักษรประทับตราพระราชสีห์
ให้คนถือขึ้นไปถึงพระไชยเชษฐาธิราชว่าให้รีบยกลงมาช่วย ด้วยกองทัพเมือง
หงษาวดีกำลังอดเสบียงอาหาร พระไชยเชษฐาธิราชไม่รู้ในอุบายพระเจ้าหงษาวดี เข้าใจว่าเปนศุภอักษรกรุงศรีอยุทธยาจริง
ก็รีบยกลองลงมาถึงเมืองสระบุรี
พบกองทัพเมืองหงษาวดีตั้งสกัดอยู่โจมตีกองทัพพระไชยเชษฐาธิราชมิทันรู้ตัวก็แตกกระจัดกระจายไป
ผู้คนล้มตายเสียช้างมาเครื่องสาตราวุธเปนอันมาก
พระไชยเชษฐาธิราชก็ขึ้นช้างพาไพร่พลที่เหลืออยู่กลับไปเมืองศรีสัตนาคนหุต
ครั้งนั้นกรุงศรีอยุทธยาก็เสียแก่พระเจ้าหงษาวดี ๆ
ให้พระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองพระพิศณุโลกมาครองกรุงศรีอยุทธยา
จุลศักราช ๙๒๑ ปีมะแมเอกศก
พระเจ้าหงษาวดียกกองทัพขึ้นไปตีเมืองศรีสัตนาคนหุต ได้สู้รบกันเปนสามารถ
กองทัพพระเจ้า หงษาวดีเหลือกำลังหักเอาเมืองมิได้ก็เลิกทัพกลับไป
พระไชยเชษฐาธิราชครองเมืองเชียงแสนได้ ๙ ปี
ในศักราช ๙๒๑ ปีมแมเอกศก
ให้ท้าวพระยาอยู่รักษาเมืองศรีสัตนาคนหุต, เมืองเชียงแสนพระไชยเชษฐาธิราชลงมาตั้งเมืองเวียงจันท์
มีนามว่าเมืองจันทบุรีศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว แต่พระบาง พระแก้วมรกฎ
พระแซกคำอยู่วัดวิชุลราชธรารามเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว จึ่งเปลี่ยนนามว่า
เมืองหลวงพระบางราชธานีศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว
พระไชยเชษฐาธิราชครองเมืองจันทบุรีศรีสัตนาคนหุต ได้สร้างพระเจดีย์ก่อคร่อมบรมธาตุพระยาศรีธรรมโสกราชองค์หนึ่ง
อยู่มาเจ้าเมืองหงษาวดีให้ อิมมะเรบุตร พระยาอังวะน้อง
คุมกองทัพพม่ามาตีเมืองเชียงใหม่ พระยาสามล้าน, พระยาม้าผู้รักษาเมืองสู้ไม่ได้
กวาดครอบครัวลงมาพึ่งพระไชยเชษฐาธิราชเมืองเวียงจันทบุรี แล้วอิมมะเรพระยาอังวะ
ยกกองทัพติดตามลงมาตีบ้านเล็กเมืองน้อยจนถึงเมืองจันทบุรี กองทัพอิมมะเรพระยาอังวะจับได้เจ้าอุปราชเมืองเวียงจันท์
๑ น้องหญิงพระไชยเชษฐาธิราช ๒ นางแทนคำ ๑ มารดานางแทนคำ ๑
ห้าคนส่งไปเมืองหงษาวดี แล้วเลิกทัพกลับไป
อยู่มาเจ้าเมืองหงษาวดีแต่งกองทัพลงมาตีเมืองเวียงจันท์อิก
พระไชยเชษฐาธิราชพาครอบครัวลงมาตั้งค่ายอยู่ปากน้ำงึม ได้ต่อรบต้านทานกันเปนสามารถ
กองทัพเมืองหงษาวดีเหลือกำลังที่จะรบชิงเอาค่ายไม่ได้ก็เลิกทัพกลับไป
พระไชยเชษฐาธิราชครองเมืองเชียงใหม่, เชียงแสน,
หลวงพระบาง, เวียงจันท์รวม
๒๔ ปี มีบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อพระหน่อแก้วแต่ยังเล็ก พระไชยเชษฐาธิราชอายุได้
๓๙ ปีถึงแก่กรรม
ศักราช ๙๒๙ ปีเถาะนพศก
พระยาแสนสุรินทร์คว่างฟ้า พระยาจันทสิงหราชเมืองเวียงจันท์เกิดวิวาทรบกัน
จะแย่งเอาพระหน่อแก้วบุตรพระไชยเชษฐาธิราชไปเลี้ยง
พระยาสุรินทร์คว่างฟ้าจับพระยาจันทสิงหราชได้ให้ฆ่าเสีย
พระยาสุรินทร์คว่างฟ้าได้เปนเจ้าเมืองเวียงจันท์เรียกว่าพระยาสุมังคลโพธิสัตวอวยการาชาประเทศ
มีบุตรชายคนหนึ่งเปนพระยานครน้อยพระยาสุมังคลโพธิสัตว์ครองเมืองได้
๔ ปี
ศักราช ๙๓๓ ปีมแมตรีศก
เจ้าเมืองหงษาวดีจัดกองทัพลงมาตีเมืองเวียงจันท์จับได้พระยาสุมังคลโพธิสัตว
พระหน่อแก้ว ส่งขึ้นไปเมืองหงษาวดี แล้วตั้งอุปราชซึ่งจับไปครั้งก่อนเปนเจ้าเมืองเวียงจันท์ครั้งนั้นเมืองเวียงจันท์เมืองหลวงพระบางต้องอ่อนน้อมขึ้นพม่าหงษาวดี
ต่อมา
แล้วต้องไปบรรณาการกรุงปักกิ่งตามแบบอย่างแต่ก่อนด้วย
แลเมืองเชียงแสนตั้งแต่กองทัพพระเจ้าหงษาวดีจับพระยาสุมังคลโพธิสัตวส่งไปเมืองหงษาวดีแล้ว
ก็หาได้อ่อนน้อมต่อเมืองหลวงพระบางไม่ ไปพึ่งแก่เมืองเชียงใหม่
อยู่มามีผู้อวดอ้างตั้งตัวเปนพระไชยเชษฐาธิราช
เกลี้ยกล่อมได้ผู้คนปลายเขตรปลายแดนยกกองทัพมาตีเมืองเวียงจันท์
เจ้าเมืองเวียงจันท์พาครอบครัวลงเรือหนีขึ้นไปถึงแก่งเรือล่ม
เจ้าเมืองเวียงจันท์ถึงแก่กรรม
ศักราช ๙๓๕ ปีรกาเบญจศก
เจ้าเมืองหงษาวดีแต่งกองทัพลงมาปราบปรามพวกขบถเรียบร้อยแล้ว
ตั้งพระยาสุมังคลโพธิสัตวให้เปนเจ้าเมืองเวียงจันท์ได้ปีหนึ่งถึงแก่กรรมท้าวพระยาเมืองเวียงจันท์ยกพระยานครน้อยบุตรพระยาสุมังคลโพธิสัตวเปนเจ้าเมืองจันทบุรีได้ปี
๑ พระยานครน้อยไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ท้าวพระยาพร้อม
กันขึ้นไปฟ้องต่อเจ้าเมืองหงษาวดี ๆ ให้เอาตัวพระยานครน้อยไว้
แล้วให้ท้าวพระยากลับลงมารักษาบ้านเมือง
ครั้นศักราช ๙๔๒ ปีมโรง โทศก
ท้าวพระยาผู้ว่าราชการเมืองเวียงจันท์แต่งให้พระยาเมืองหลวงเมืองแสนเปนแม่ทัพยกขึ้นไปตีเมืองเชียงแสน
ได้รบพุ่งกันเปนหลายครั้ง
กองทัพเมืองเวียงจันท์จะหักเอาเมืองไม่ได้ก็ตั้งค่ายมั่นอยู่ฝ่ายเจ้าเมืองเชียงแสนมีหนังสือลงมาขอกองทัพเมืองเชียงใหม่แลกองทัพกรุงศรีอยุทธยาขึ้นไปช่วย
พระยาเมืองหลวง
เมืองแสนทราบว่าสมเด็จพระนเรศวรเปนเจ้ากรุงศรีอยุทธยาให้กองทัพยกขึ้นไปก็เกรงพระบารมี
ได้ปฤกษาการบ้านเมืองกันแล้ว ก็เลิกทัพกลับไปเมืองเวียงจันท์ ๆ ไม่มีเจ้าเมือง
ว่างเปล่าอยู่ ๙ ปี
ศักราช ๙๔๕ ปีมแมเบญจศก
ท้าวพระยาแลพระสงฆ์พร้อมกันขึ้นไปเมืองหงษาวดี
ขอพระหน่อแก้วบุตรพระไชยเชษฐาธิราชลงมาครองเมืองเวียงจันท์ได้ ๒ ปี รวมอายุ ๒๖
ปีถึงแก่กรรม
ศักราช๙๔๗ปีรกาสัปตศก
ท้าวพระยาจึงยกพระธรรมิกราชบุตรน้าพระหน่อแก้วขึ้นเปนเจ้าเมืองเวียงจันท์
มีบุตรชาย อุปยุวราชพระมอมแก้ว ๒ คนพระธรรมิกราชครองเมืองได้ ๗ ปีถึงแก่กรรม
ศักราช ๙๕๔ ปีมโรงจัตวาศก
ท้าวพระยาเอาผู้มีตระกูลในวงษ์พระไชยเชษฐาธิราชครองเมืองต่อมาได้ ๔ ปี
แลในศักราช ๙๕๕ ปีมเสงเบญจศกนั้น
เจ้าเมืองเวียงจันท์แลท้าวพระยาพร้อมกันเห็นว่าในกรุงศรีอยุทธยาเปนแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรเปนเจ้า
มีบุญญาธิการแผ่อาณาเขตรกว้างขวางออกไปมาก
จึงแต่งราชทูตถือพระราชสาสนคุมเครื่องราชบรรณาการลงมาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารณ
กรุงศรีอยุทธยาครั้งหนึ่ง
ศักราช ๙๕๘ ปีวอกอัฐศก
อุปยุวราชบุตรพระธรรมิกราชที่ ๑ ได้เปนเจ้าเมืองเวียงจันท์ มีบุตรชาย เจ้าตวนคำ
เจ้าวิไชยอุปยุวราชครองเมืองได้ ๑๒ ปีถึงแก่กรรม
ศักราช ๙๗๐ ปีวอกสัมฤทธิศก
เจ้าตวนคำบุตรอุปยุวราชที่ ๑ ได้เปนเจ้าเมืองเวียงจันท์มีบุตรชาย เจ้าชมภู ๑ เจ้าบุญชู
๑ เจ้าสุริยวงษ์ ๑ สามคน เจ้าวิไชยน้องเจ้าตวนคำมีบุตรชาย เจ้าปุ ๑เจ้าสอย ๑
เจ้าตวนคำครองเมืองได้ ๑๖ ปีก็ถึงแก่กรรม
ศักราช ๙๘๕ ปีกุนเบญจศก
ท้าวพระยายกเจ้าสุริยวงษ์บุตรเจ้าตวนคำที่ ๓ เปนเจ้าเมืองเวียงจันท์ เรียกว่าพระยาสุริยวงษา
ธรรมิกราชบรมบพิตร แล้วกลัวเจ้าชมภู
เจ้าบุญชู เจ้าปุผู้ที่จะชิงเอาราชสมบัติ จึงให้ขับไล่เจ้าชมภู เจ้าบุญชู
เจ้าปุไปจากบ้านเมือง เจ้าชมภูพาภรรยากับแสยทิพนาบัวหนีไปเมืองญวน
มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อพระไชยองแว้, เจ้าชมภูถึงแก่กรรมทที่เมืองญวน
แสนทิพนาบัวได้มารดาพระไชยองแว้เปนภรรยา มีบุตรชายชื่อท้าวน้อง ๑ ท้าวราชวงษา ๑
สองคน เจ้าบุญชูหนีไปบวชอยู่วัดภูหอภูโรง เจ้าปุพาภรรยาไปอยู่เมืองนครพนม
มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเจ้านันทราช เจ้าปุถึงแก่กรรมที่เมืองนครพนม
พระยาสุริยวงษาครองเมืองเวียงจันท์ ได้ว่ากล่าวเขตรแขวงข้างใต้ตั้งแต่ลี่ผีขึ้นไปข้างเหนือแต่ผากะไดลงมาข้างซ้ายต่อแดนกรุงศรีอยุทธยา
กำหนดไม้ประดู่ ๓ ต้น อ้น ๒ ขุย ข้างขวาต่อแขวงเมืองญวน กำหนดต้นซาน ๓ กิ่ง
มีลำน้ำสามคลองเปนอาณาเขตร
พระยาสุริยวงษามีบุตรชาย เจ้าราชบุตร ๑
บุตรหญิงนางกุมารี ๑ นางสุมัง ๑ สามคน อยู่มาฮ่อยก
กองทัพมาตีเมืองเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า
เจ้าอินทกุมารเมืองเชียงรุ้งแสนหวีฟ้าจึงพานางจันทกุมารีผู้น้องลงมาพึ่งพระยาสุริยวงษาเจ้าเมืองเวียงจันท์
เจ้าราชบุตรได้นางจันทกุมารีเปนภรรยามีบุตรชายเจ้ากิงกิสะ เจ้าอินทโสม
อยู่มาเจ้าราชบุตรทำชู้ด้วยภรรยาท้าวโกขุนนาง พระสุริยวงษาให้ฆ่าเจ้าราชบุตรเสีย
เจ้าอินทกุมารเมืองเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า
ได้ลาวเมืองเวียงจันท์เปนภรรยามีบุตรชายเจ้าองค์นก พระยาสุริยวงษาครองเมืองได้ ๕๘
ปี รวมอายุ ๘๓ ปีถึงแก่กรรม
ศักราช ๑๐๔๓ ปีรกาตรีศก
พระยาเมืองจันได้เปนเจ้าเมืองเวียงจันท์
เจ้านันทราชบุตรเจ้าปุที่หนีไปอยู่เมืองนครพนมได้เปนเจ้าเมืองนครพนม
เกณฑ์กองทัพยกมาตีเมืองเวียงจันท์ จับพระยาเมืองจันฆ่าเสีย
เจ้านันทราชได้เปนเจ้าเมืองเวียงจันท์
แล้วพระไชยองแว้บุตรเจ้าชมภูที่หนีขึ้นไปอยู่เมืองเวียดนาม ขอกองทัพญวน
ยกมาตีเมืองเวียงจันท์จับเจ้านันทราชได้ฆ่าเสีย พระไชยองแว้บุตร
เจ้าชมภูได้เปนเจ้าเมืองเวียงจันท์
แล้วให้ท้าวนองผู้น้องต่างบิดากันขึ้นไปรักษาเมืองหลวงพระบาง เจ้ากิงกิสะ
เจ้าอินทโสมบุตรเจ้าราชบุตร
เจ้าองค์นกบุตรเจ้าอินทโสมเมืองเชียงรุ้งแสนหวีฟ้ากลัวพระไชยองแว้จะมีความพยาบาท
แต่ครั้งปู่ขับไล่บิดาพระไชยองแว้ไปเมืองญวนก็พากันหนีไป เจ้ากิงกิสะเจ้าองค์นกไปอยู่เมืองล่าเมืองพงเจ้าอินทโสมอยู่เมืองแพร่
ครั้งนั้นเมืองเวียดนามกับเมืองเวียงจันท์
เมืองหลวงพระบางเปนบ้านพี่เมืองน้องไปมาหากัน
แต่ไม่มีเครื่องบรรณาการส่วยอากรสิ่งใด อยู่มาเจ้ากิงกิสะ
เจ้าองค์นกเกลี้ยกล่อมคนเมืองล่าเมืองพงได้ ยกเปนกองทัพลงมาตั้งอยู่กลางทาง
ท้าวนองซึ่งรักษาเมืองหลวงพระบางรู้ว่ากองทัพเจ้ากิงกิสะยกลงมา ก็เชิญเอาพระบางพระแก้วมรกฎ
พระแซกคำหนีลงมาเมืองเมืองเวียงจันท บุรีศรีสัตนาคนหุต
เจ้ากิงกิสะก็ยกกองทัพเข้าเมืองหลวงพระบางเจ้ากิงกิสะบุตรเจ้าราชบุตรได้เปนเจ้าเมืองหลวงพระบาง
มีนามว่าพระยากิงกิสะ เจ้าองค์นกบุตรเจ้าอินทกุมารเปนอุปราช
จุลศักราช ๑๐๕๗ ปีกุนสัปตศก
พระยากิงกิสะเจ้าเมืองหลวงพระบางราชธานีศรีสัตนาคนหุต
เกณฑ์กองทัพยกไปตีเมืองเวียงจันทบุรีศรีสัตนาคนหุต
เจ้าเมืองเวียงจันทบุรีศรีสัตนาคนหุมีศุภอักษรลงมายังกรุงศรีอยุทธยาขอกองทัพขึ้นไปช่วย
สมเด็จพระเพทราชาธิราชพระเจ้าอยู่หัวกรุงศรีอยุทธยา
จึงให้นายทัพนายกองคุมไพร่ช้างม้ารี้พลยกขึ้นไปช่วยเมืองเวียงจันท์บุรีศรีสัตนาคนหุต
ครั้นนายทัพนายกองกรุงศรีอยุทธยายกขึ้นไปถึงเมืองจันทบุรี
จึงมีหนังสือไปถึงนายทัพนายกองเมืองหลวงพระบางว่า ให้เปนทางไมตรีประนีประนอมกับเมืองจันทบุรีศรีสัตนาคนหุตดังแต่ก่อนมา
ครั้นนายทัพนายกองเมืองหลวงพระบางแจ้งในหนังสือนายทัพนายกองกรุงศรีอยุทธยาแล้ว
ก็มีความครั่น คร้ามเกรงพระเดชานุภาพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงศรีอยุทธยา
จึงยอมเปนทางไมตรีกับเมืองจันทบุรีศรีสัตนาคนหุตสืบไป ไม่มีความอาฆาฎซึ่งกันแลกัน
ฝ่ายกองทัพกรุงศรีอยุทธยาแลกองทัพเมืองหลวงพระบางต่างคนต่างเลิกทัพกลับไปบ้านเมือง
พระยากิงกิสะเจ้าเมืองหลวงพระบาง
พระไชยองแว้เจ้าเมืองจันทบุรีพร้อมกันแบ่งปันเขตรแดนบ้านเมือง
(ตรงนี้ต้นฉบับขาดหายไปอ่านไม่ได้ความ) พ้นจากปากน้ำเหืองเหนือเมืองเชียงคาน
ฝ่ายตวันออกปากน้ำมิใต้เมืองเชียงคานไปถึงลี่ผีเปนเขตรแขวงเมืองเวียงจันท์
ตั้งแต่น้ำของฝ่ายตวันออกปากน้ำมิ ฝ่ายตวันตกปากน้ำเหืองขึ้นไปถึง ผากะได
ข้างซ้ายต่อแดนกรุงศรีอยุทธยากำหนดไม้ประดู่สามต้นข้างขวาต่อแดนเมืองญวนกำหนดต้นซานสามกิ่ง
หัวพันทั้ง ๖ สิบสองน่าด่านเปนแขวงเมืองหลวงพระบาง พระยากิงกิสะเจ้าเมือง
หลวงพระบางมีบุตรชื่อเจ้าแทนสาว เจ้าแทนคำ อักไซรคำ ๓ คน พระยากิงกิสะครองเมืองได้
๒๒ ปีก็ถึงแก่กรรม
ศักราช ๑๐๗๕ ปีมเสงเบญจศก
ท้าวพระยายกเจ้าองค์นกอุปราชขึ้นเปนเจ้าเมือง มีนามว่าสมเด็จบรมเชษฐขัติยสุริยวงษาเจ้าเมืองหลวงพระบางครองเมืองได้
๑๐ ปี เจ้าอินทโสมบุตรเจ้าราชบุตรที่ ๒ น้องพระยากิงกิสะเกลี้ยกล่อมได้ไพร่พลเมือง
ๆ ล่าเมืองพง ยกกองทัพลงมาตั้งอยู่เมืองงอยในลำอู
เจ้าองค์นกจึงปฤกษาท้าวพระยาว่าจะยกกองทัพขึ้นไปสู้รบป้องกันรักษาเขตรแดนก็ได้
แต่เห็นว่าไพร่พลจะยับย่อยทั้งสองฝ่าย แล้วก็จะขาดพระญาติแลพระราชไมตรีกัน
จึงให้นิมนต์พระสงฆ์แลข้าราชการมาประชุมพร้อมแล้ว
เจ้าองค์นกตั้งความสาบาลว่าจะไม่คิดประทุษฐร้ายแก่กันแล้วจึงเชิญเจ้าอินทโสมลงมาให้ว่าราชการเมืองด้วย
ภายหลังเจ้าองค์นกกับมหาดเล็กไปต่อนกเขา
พระยาเมืองซ้ายกับเจ้าอินทโสมร่วมคิดกันปิดประตูเมืองเสีย
ยกเจ้าอินทโสมขึ้นครองเมืองหลวงพระบางในศักราช ๑๐๘๕ ปีเถาะเบญจศก
เจ้าองค์นกกลับมาเห็นประตูเมืองปิดมีผู้คนรักษาน่าที่ จะเข้าเมืองไม่ได้ ก็พาบุตร
๗ คน กับมหาดเล็กไปถึงเมืองเลิก จึงตั้งความอธิฐานว่า ถ้าจะได้ ครองบ้านเมืองต่อไปจะข้ามสพานไปขอให้สพานหัก
ครั้นอธิฐานแล้วก็ข้ามสพานไปสพานก็หัก เจ้าองค์นกจึงบวชเปนพระภิกขุที่วัดเลือก
แล้วไปอยู่วัดช้างเผือกเมืองเชียงใหม่ อยู่มาเจ้าเมืองเชียงใหม่ถึงแก่กรรม
มีบุตรอยู่ ๒ องค์ เจ้าอังวะแต่งกองทัพประมาณ ๑๗๐๐๐๐ ยกมาล้อมเมืองเชียงใหม่ ท้าวพระยาเมืองเชียงใหม่คุมกองทัพออกรบพม่าหลายครั้งก็สู้ไม่ได้
จึงปฤกษาพร้อมกันว่า เจ้าองค์นกเมืองหลวงพระบางหนีมาบวชอยู่วัดช้างเผือกจึงเอาขันทองคำ
๓ ขันจารึกนามบุตรเจ้าเมืองเชียงใหม่ ๒ องค์ ๆ ละขัน จารึกนามเจ้าองค์นกขัน ๑
แล้วลงไปพร้อมกันที่แม่น้ำปิงอธิฐานว่าถ้าเจ้าองค์ใดจะมีบุญครอบครองเมืองเชียงใหม่
แลปราบข้าศึกพม่าได้ ขอให้ขันพระนามองค์นั้นลอยทวนขึ้นเหนือน้ำ
ขันทองมีนามบุตรเจ้าเชียงใหม่ทั้ง ๒ องค์นั้นลอยตามน้ำไป
แต่ขันทองมีนามเจ้าองค์นกลอยทวนขึ้นเหนือน้ำ ท้าวพระยามีความยินดีพร้อมกัน
เชิญเจ้าองค์นกลาผนวชขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ได้ ๗ วัน จึงเกณฑ์กองทัพออกไปรบพม่า ๆ
แตกหนีไป
เจ้าองค์นกครองเมืองเชียงใหม่
มีบุตรชายกับนางยองคนเมืองเชียงใหม่ชื่อเจ้าต้น เจ้าวงษ์ เจ้าติศะ
บุตรเจ้าองค์นกตามไปแต่เมืองหลวงพระบาง ๗ คน รวม ๑๐ คนก็ได้ครองเมืองเชียงใหม่สืบ
ๆ กันมา เจ้าอินทโสมครองเมืองหลวงพระบางได้ ๑๓ ปี เจ้าโนชา
เจ้าไชยสารบุตรองค์นกซึ่งอยู่เมืองหลวงพระบางกับพระยาเชียงใต้
ท้าวอินน้ำงาทิดสุวรรณเกลี้ยกล่อมผู้คนได้๘๐๐ เสศจะเข้าตีเอาเมืองหลวงพระบาง
เจ้าอินทโสมเจ้าเมืองหลวงพระบางให้เกณฑ์คนจับเจ้าโน เจ้าไชยสาร
พระยาเชียงใต้ได้ฆ่าเสีย เจ้าอินทโสมมีบุตรชาย เจ้าโชติกะ ๑ เจ้าอนุรุธ๑ เจ้านาค๑
เจ้านารทะ ๑ เจ้าเชษฐวังโส ๑ เจ้าองค์เอก ๑ เจ้าสุริยวงษ์ ๑ เจ้าสุรวงษา ๑
เจ้าอินทพรหม ๑ เก้าคน มีบุตรหญิงนางแก้วรัตนพิมพา๑ นางศรีคำกอง ๑ นางสุชาดา ๑
นางสุธรรมา ๑ นางมาศ ๑ นางแว่นแก้ว ๑ หกคน รวม ๑๕ คน เจ้าอินทโสมครองเมืองได้ ๒๖
ปีก็ถึงแก่กรรมในศักราช ๑๑๑๑ ปีมเสงเอกศก เมื่อ
เจ้าอินทโสมครองเมืองเหลวงพระบางหาได้อ่อนน้อมต่อเมืองญวนไม่เจ้าเวียดนามจึงแต่งให้องเจียงเทียมตาเทียมเจ๊กคุมกองทัพยกมาตีเมืองหลวงพระบาง
ท้าวพระยาพร้อมกันให้เจ้าอินทพรหมบุตรเจ้าอินทโสมที่
๙ เปนแม่ทัพคุมกองทัพออกไปรบญวนทนฝีมือไม่ได้แตกหนีไป
ท้าวพระยาจึงยกเจ้าอินทพรหมเปนเจ้าเมืองหลวงพระบางได้ ๘ เดือน จุลศักราช ๑๑๑๒
ปีมะเมียโทศก
เจ้าอินพรหมจึงมอบให้เจ้าโชติกะบุตรบุตรเจ้าอินทโสมที่๑ผู้พี่เปนเจ้าเมืองหลวงพระบางแล้วเมืองเวียงจันท์มีหนังสือยุยงขึ้นไปเมืองอังวะขอกองทัพลงมาตีเมืองหลวงพระบาง
เจ้าอังวะแต่งให้โปนานวคุมกองทัพลงมาตีเมืองหลวงพระบางจับได้เจ้าสุริยวงษ์บุตรเจ้าอินทโสมที่
๗ กับไพร่ ๖๐๐ คน แล้วเลิกทัพกลับไปเมืองอังวะ เจ้าโชติกะครองเมืองหลวงพระบางได้
๑๔ ปี เจ้าอังวะแต่งให้เจ้าสุริยวงษ์เปนแม่ทัพคุมกองทัพพม่ากับไพร่ลาวเมืองหลวงพระบาง
๖๐๐ คนไปตีเมืองล่า เมืองแมน เจ้าสุริยวงษ์กับไพร่ลาว๖๐๐ คนพากันหนีลงมาเมืองแถง
ศักราช ๑๑๒๖ ปีวอกฉศก
จึงให้หนังสือลงมาถึงเมืองหลวงพระบางว่าจะขอเข้ามาช่วยทำนุบำรุงบ้านเมือง
เจ้าโชติกะเจ้าเมืองหลวงพระบางไม่ให้เข้ามา เจ้าสุริยวงษ์จึงเกณฑ์กองทัพตามหัวเมืองยกมาประมาณ
๓ ยามเสศ เข้าตีปล้นเอาเมืองหลวงพระบางได้
เจ้าโชติกะเจ้าเมืองหลวงพระบางท้าวพระยาแลญาติพี่น้องพากันหนีลงมาอยู่บ้านน้ำรุง
นางศรีคำกองพี่เจ้าสุริยวงษ์ถามว่ายกกองทัพมาทั้งนี้หมายจะฆ่าญิติพี่น้องหรือ
เจ้าสุริยวงษ์ว่าคิดถึงญาติพี่น้องหนีพม่าลงมาก็ไม่ให้เข้าบ้านเมือง
จึงได้เกณฑ์กองทัพตีเข้ามาจะได้เห็นหน้าญาติพี่น้อง นางศรีคำกองจึงให้นิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะมาพร้อมกัน
ให้เจ้าสุรยิวงษ์สาบาลตัวว่าไม่คิดทำร้ายแก่พี่น้องแล้ว
จึงให้พระราชาคณะลงไปเชิญเจ้าเมืองหลวงพระบางกับญาติพี่น้องขึ้นมา
เจ้าเมืองหลวงพระบางก็มอบบ้านเมืองให้เจ้าสุริยวงษ์ผู้น้องครองเมืองหลวงพระบาง
ศักราช ๑๑๓๓ปีเถาะตรีศก
ครั้งนั้นเมืองญวนกับเมืองหลวงพระบางต่างคนต่างมีบรรณาการไปมาหากันสืบมา
เจ้าสุริยวงษ์เจ้าเมืองหลวงพระบางจึงเกณฑ์กองทัพไปแก้แค้นทดแทนตีเมืองเวียงจันท์
ได้รบพุ่งกัน อยู่ ๒ เดือน
เจ้าบุญสาระเจ้าเมืองเวียงจันท์มีหนังสือขึ้นไปขอกองทัพพม่าลงมาช่วย
เจ้าเมืองอังวะแต่งให้ชิกชิงโป, โปสุพลาคุมกองทัพประมาณ
๕๐๐๐ ยกลงมาตีเมืองหลวงพระบาง
เจ้าสุริยวงษ์เจ้าเมืองหลวงพระบางยกกองทัพขึ้นไปต่อรบพม่าประมาณ ๑๕ วัน
กองทัพพม่าตีได้เมืองหลวงพระบาง
เจ้าสุริยวงษ์ก็ยอมเปนเมืองขึ้นแก่กรุงอังวะตามเดิม
ศักราช ๑๑๓๖ ปีมเมียฉศก
กรุงเทพ ฯ ครั้งนั้นเปนแผ่นดินพระเจ้าตาก
มีพระราชสาสนกับเครื่องบรรณาการไปเมืองหลวงพระบาง ขอเปนทางไมตรีไปมาหากัน
เจ้าเมืองหลวงพระบางมีความโสมนัศยินดี ครั้น ณ ปีวอกอัฐศก เจ้าเมืองหลวงพระบางมีศุภอักษรกับเครื่องราชบรรณาการแต่งท้าวพระยาคุมลงมากรุงเทพฯ
แล้วโปรดพระราชทานทรัพย์สิ่งของ
ให้แก่ท้าวพระยาคุมขึ้นไปให้เจ้าเมืองหลวงพระบางตามสมควร
ศักราช ๑๑๔๐ ปีจอสัมฤทธิศก
เจ้าบุญสารเจ้าเมืองเวียงจันท์แต่งให้พระยาสุโภคุมกองทัพลงไปตรีเมืองดอนมดแดง
ซึ่งเปนข้าขอบขัณฑสีมากรุงเทพ ฯ แล้วจับพระวอเจ้าเมืองฆ่าเสีย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวกรุงเทพ ฯ ทรงพระพิโรธ
โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากระษัตริย์ศึก เจ้าพระยาสุรสีห์ คุมไพร่พลในกรุงนอกกรุง
ขึ้นไปตีเมืองเวียงจันท์
สมเด็จเจ้าพระยามหากระษัตริย์ศึกมีหนังสือไปถึงเมืองหลวงพระบาง ขอยกกองทัพไปตีเมืองเวียงจันท์
เจ้าเมืองหลวงพระบางแต่งท้าวพระยาคุมไพร่สามพัน
ยกลงไปช่วยตีเมืองเวียงจันท์เหนือเมืองข้างทิศอิสาณ ครั้นตีเมืองเวียงจันท์สิ้นศึกแล้วเมืองหลวงพระบางก็ยอมเปนเมืองขึ้นข้าขอบขัณฑสิมากรุงเทพฯ
ครั้งนั้นเมืองอังวะกับเมืองหลวงพระบางก็ขาดทางไมตรี
หาได้ไปมาไม่ เมืองหลวงพระบางยังต้องไปบรรณาการแก่กรุงปักกิ่ง๕ ปีไปครั้งหนึ่ง
กับที่กรุงเทพ ฯ ถึงปีก็มีดอกไม้เงินทองลงมาทูลเกล้า ฯ ถวาย
แต่เมืองเวียดนามกับเมืองหลวงพระบางก็ยังไปมาหากันอยู่
เจ้าสุริยวงษ์เจ้าเมืองหลวงพระบางเห็นว่าทางเมืองหลวง
พระบางจะไปบรรณาการเมืองปักกิ่งไกล ทางไปทางมาถึง ๓ ปี
จึงแต่งให้พระยาเมืองแสนคุมเครื่องราชบรรณาการไปเมืองปักกิ่ง แล้ว ขอ ๑๐
ปีไปครั้งหนึ่ง เพิ่มเครื่องราชบรรณาการขึ้นอิกสิ่งละส่วนแต่นั้นมาเมืองหลวงพระบางไปบรรณาการเมืองปักกิ่ง
๑๐ ปีครั้งหนึ่ง ต่อ ๆ มา
ครั้นศักราช๑๑๔๔ปีขาลจัตวาศก ที่กรุงเทพฯ
นั้นพระยาสรรค์จับพระเจ้าตากสำเร็จโทษเสีย
สมเด็จเจ้าพระยามหากระษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกถวับยราชสมบัติกรุงเทพฯ ทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์
เมืองหลวงพระบางก็คงเปนข้าขอบขัณฑสีมากรุงเทพ ฯ ตามเดิม
เจ้าสุริยวงษ์เจ้าเมืองหลวงพระบางครองเมืองได้ ๒๖ ปีก็ถึงแก่กรรม
ศักราช ๑๑๕๓ ปีกุญตรีศก ในกรุงเทพ ฯ
เปนแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ ท้าวพระยาพร้อมกันขอ
เจ้าอนุรุธบุตรเจ้าอินทโสมที่ ๒ ผู้พี่เจ้าสุริยวงษ์ขึ้นเปนเจ้าเมืองหลวงพระบาง
เจ้านากบุตรบุตรเจ้าอินทโสมที่ ๓ เปนอุปราช เจ้ามังธาตุราชบุตรเจ้าอนุรุธที่ ๑
เปนราชวงษ์ ครองเมืองได้ปีหนึ่ง ศักราช ๑๑๕๔ ปีชวดจัตวาศก
เจ้านันทเสนเจ้าเมืองเวียงจันท์มีความพยาบาทกับเมืองหลวงพระบาง
จึงเกณฑ์กองทัพยกขึ้นไปตีเมืองหลวงพระบาง ได้สู้รบกันประมาณสิบสี่สิบห้าวัน
เจ้าอุปราชเมืองเวียงจันท์ถูกปืนพวกเมืองหลวงพระบางตายในที่รบ
เจ้าเมืองเวียงจันท์เห็นเหลือกำลัง จึงคิดอุบายมีหนังสือลับเข้าไปถึงนางแทนคำภรรยาเจ้าสุริยวงษ์เจ้าเมืองหลวงพระบางที่ถึงแก่กรรม
ว่าให้นางแทนคำ ช่วยคิดอ่านเอาเปนธุระในการสงครามครั้งนี้
ถ้าสำเร็จความปราดถนาแล้วจะยกนางแทนคำขึ้นเปนมเหษี แล้วจะมอบราชสมบัติให้
นางแทนคำหลวงด้วยกลมารยาข้าศึก
จึงให้หัวกันเมืองวาคนสนิทเกณฑ์พรรคพวกไปรักษาน่าที่แลประตูด้านทิศอาคเณย์ ถ้ากองทัพพวก
เมืองเวียงจันท์ยกมาก็อย่าให้ป้องกัน ให้เปิดประตูเมืองปล่อยเข้ามาโดยสดวก
แล้วนางแทนคำมีหนังสือนัดหมายไปถึงเจ้าเมือง เวียงจันท์ ๆ
ทราบแล้วถึงวันนัดก็คุมพลทหารยกเข้าไปในเมืองหลวงพระบาง
ฆ่าฟันราษฎรล้มตายเปนอันมาก จับได้เจ้าอนุรุธเจ้าเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราช
เจ้าราชวงษ์ ญาติพี่น้อง แลกวาดครอบครัวเมืองหลวงพระบางลงมาเมืองเวียงจันท์
แล้วตั้งพระยาหลวงแสนอยู่รักษาเมืองหลวงพระบาง
แล้วเจ้าเมืองเวียงจันท์แต่งให้ท้าวพระยาคุมเอาตัวเจ้าเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราช
เจ้าราชวงษ์กับญาติพี่น้องลงมาส่งณกรุงเทพ ฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์โปรดให้เอาตัวเจ้าเมืองหลวงพระบาง
เจ้าอุปราช เจ้าราชวงษ์กับญาติพี่น้องจำไว้ ณ กรุงเทพ ฯ
ในศักราช ๑๑๕๔ ปีชวดจัตวาศกนั้น
อยู่มาเมืองแถง เมืองพวนตั้งขัดแข็งต่อเมืองเวียงจันท์
เจ้าเมืองเวียงจันท์จึงแต่งกองทัพขึ้นไปตีเมืองแถง เมืองพวน ได้พวกลาวทรงดำลาวพวน
ส่งลงมาณ กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์โปรด ให้ส่งลาวทรงดำออกไปตั้งอยู่เมืองเพชรบุรี
ลาวพวนให้ตั้งอยู่กรุงเทพ ฯ
พระยาหลวงแสนรักษาเมืองหลวงพระบางได้ ๔ ปี
ศักราช ๑๑๕๗ ปีเถาะสัปตศก
อุปราชาเจ้าเมืองไซซึ่งขึ้นแก่เมืองหลวงพระบางนำเครื่องบรรณาการขึ้นไปเมืองปักกิ่ง
แล้วทูลเจ้า ปักกิ่งให้ช่วยขอเจ้าเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราช
เจ้าราชวงษ์กับญาติพี่น้องต่อกรุงเทพ ฯ กลับขึ้นไปรักษาบ้านเมืองตามเดิม
เจ้าปักกิ่งจึงให้
เพี้ยศรีปองอ้องกับพระยาสินพรหมเมืองเชียงรุ้งถือศุภอักษรกับเครื่องราชบรรณาการมาทางเมืองพิไชยลงมา
ณ กรุงเทพ ฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์จึงโปรดเกล้า ฯ ยกโทษเจ้าอนุรุธ
เจ้าเมืองหลวงพระบาง , เจ้านากอุปราช,
เจ้ามังธาตุราชราชวงษ์,
กับญาติพี่น้องให้กลับขึ้นไปเมืองหลวงพระบางว่าราชการบ้านเมืองตามเจ้าปักกิ่งขอต่อไป
จึงโปรดเกล้า ฯ ตั้งเจ้าอภัยบุตรเจ้าอุปราชนากที่ ๑ เปนเจ้าหอน่า ขึ้นไปช่วยว่าราชการบ้านเมือง
แล้วโปรดให้มีศุภอักษรขึ้นไปเมืองเวียงจันท์
ให้ส่งครอบครัวเมืองหลวงพระบางไปอยู่ตามภูมิลำเนาเดิม เจ้าเมืองหลวงพระบาง
เจ้าอุปราช เจ้าราชวงษ์ เจ้าหอ น่าแลญาติพี่น้อง กราบถวายบังคมลาขึ้นไปรักษาบ้านเมืองสืบไป
เจ้าเมืองหลวงพระบางอนุรุธมีบุตรชาย
เจ้ามังธาตุราชราช วงษ์ ๑ เจ้าสุทธราช ๑ เจ้าไชยราช ๑ เจ้าราชไภย ๑ เจ้าอุ่นแก้ว ๑
เจ้าช้าง ๑ หกคน บุตรหญิง นางทุมา ๑ เจ้าหลา ๑ เจ้าวัยกา ๑ สามคน รวม ๙ คน
เจ้าอุปราชนากมีบุตรชาย เจ้าอภัยเปนที่หอน่า ๑ เจ้าสุทธ
๑ เจ้าอินท ๑ เจ้าพรหม ๑ เจ้าม้ง ๑ เจ้าลาน ๑ เจ้าสญไชย ๑ เจ็ดคน
เจ้าอภัยหอน่ามีบุตรชาย เจ้างอนคำ ๑ เจ้าแก่นคำ ๑
เจ้าฮอดคำ ๑ สามคน
เจ้าสุทธบุตรเจ้าอุปราชที่๒ มีบุตรชาย เจ้าคำบัว ๑
บุตรหญิง เจ้าคำตัน ๑ สองคน
เจ้าอินทร์ บุตรเจ้าอุปราชที่ ๓ มีบุตรชาย เจ้าคำโป
๑ บุตรหญิง เจ้าคำตือ ๑ เจ้าคำอ้น ๑ สามคน
เจ้าม้งบุตรเจ้าอุปราชที่ ๕ มีบุตรชาย เจ้าคำปาน ๑
บุตรหญิง เจ้าคำปอง ๑ เจ้าคำกอง ๑ สามคน
เจ้าสญไชยบุตรเจ้าอุปราชที่ ๗ มีบุตรชาย เจ้าคำเง่า
๑ เจ้าคำแสน ๑ เจ้าคำเมิด ๑ เจ้าคำปะ ๑ เจ้าคำยิ่ง ๑ เจ้าคำอ่อน ๑ บุตรหญิงเจ้าคำตัน๑
เจ้าคำสุทธิ๑ เจ้าคำทิพ ๑ เจ้าคำแจง ๑ สิบคน
เจ้าเมืองเหลวงพระบางอนุรุธครองเมืองได้ ๒๕ ปี
รวมอายุ ๘๒ ปีถึงแก่กรรม เจ้าอุปราชนากก็ถึงแก่กรรมต่อ ๆ กันมา
ศักราช ๑๑๗๘ ปีชวดอัฐศก
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ จึงโปรดเกล้า ฯ ตั้งเจ้ามังธาตุราชราชวงษ์บุตรเจ้าเมืองหลวงพระบางอนุรุธที่
๑ เปนเจ้าเมืองหลวงพระบาง เจ้าสุทธราชบุตรเจ้าเมืองหลวงพระบางอนุรุธที่๔เปนราชวงษ์
ขึ้นไปปกครองบ้านเมือง
เจ้าเมืองหลวงพระบางมังธาตุราชมีบุตรชาย เจ้าศุขเสิม
๑ เจ้าจันทราช ๑ เจ้าโพเนื้อทอง ๑ เจ้าอุ่นคำ ๑ เจ้าคำบัว ๑ เจ้าบวรพันธุ์ ๑
เจ้าสุทธิสาร ๑ เจ้าโพธิสาร ๑ เจ้าสุพรรณ ๑ บุตรหญิง เจ้ายอดคำ ๑ เจ้าฉิมมา ๑
เจ้าทองทิพ๑ เจ้าเบงคำ ๑ เจ้าฉิมพลี ๑ เจ้าทองสุก ๑ สิบห้าคน
เจ้าสุทธราชอุปราชมีบุตรชาย เจ้าราชไภย ๑
เจ้าบุตรไตร ๑ เจ้าคำเม้า ๑ เจ้าศรีวิไชย ๑ เจ้าคำแก่น ๑ เจ้าคำสิง ๑ เจ้าคำบัว ๑
เจ็ดคน
เจ้าอภัยราชวงษ์มีบุตรชายเจ้าสุริวงษ์ ๑ เจ้าคำปาน ๑
เจ้าคำสุก ๑ เจ้าไชย ๑ บุตรหญิง เจ้าคำปอล ๑ เจ้าคำแว่น ๑ เจ้าคำผิว ๑ เจ้าบัวแก้ว
๑ แปดคน
เจ้าไชยราชบุตรเจ้าเมืองเหลวงพระบางอนุรุธที่ ๓
มีบุตรชายเจ้าคำองค์คน ๑
เจ้าช้างบุตรเจ้าเมืองหลวงพระบางอนุรุธที่ ๖
มีบุตรชาย เจ้าคำฟัน ๑ เจ้าคำตัน ๑ สองคน
ศักราช ๑๑๘๒ ปีมโรงโทศก เจ้าหมาน้อยกับเจ้ามหาวังเมืองเชียงรุ้งแสนหวีฟ้าเกิดวิวาทกัน
เจ้ามหาน้อยหนีมาพึ่งเมืองหลวงพระบาง
เจ้าเมืองหลวงพระบางมังธาตุราชแต่งให้เจ้าอุปราช
เจ้าอุ่นแก้วคุมกองทัพยกขึ้นไปตั้งอยู่เมืองบูรณ์เหนือ
แล้วเจ้าอุปราชแต่งให้พระยาเชียงใต้ พระยาเชียงเงินคุมกองทัพยกขึ้นไปตีเมืองล่า
เมืองพง เมืองบาน เมืองของ เมืองนุ่น เมืองเชียงฟ้าได้หลาย หัวเมือง
มหาวังเมืองเชียงรุ้งแสนหวีฟ้าเกณฑ์คนยกลงมาต่อรบจับ
พระยาเชียงใต้พระยาเชียงเงินขึ้นไปเมืองเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า
พวกกองทัพเมืองหลวงพระบางก็แตกหนีมาตั้งอยู่เมืองบูรณ์เหนือ
แล้วเจ้าสุทธราชอุปราชส่งตัวมหาน้อยไปยังเมืองปักกิ่ง แล้วเลิกทัพกลับมาเมืองหลวงพระบาง
เจ้าเมืองหลวงพระบางมังธาตุราชทำราชการอยู่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยอิก
๘ ปี
ศักราช ๑๑๘๖ ปีวอกฉศก
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยเสด็จสวรรคตแล้ว
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล่าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เจ้ามังธาตุราชเจ้าเมืองหลวงพระบาง
จึงมอบบ้านเมืองให้ท้าวพระยาอยู่รักษา แล้วเจ้าเมืองหลวงพระบาง มังธาตุราช
คุมเอาดอกไม้เงินทองเครื่องราชบรรณาการกับสิ่งของลงมาทำบุญในการพระบรมศพ
พระบาทสมเด็จพุทธเลิศหล้านภาไลย
กราบบังคมทูลพระกรุณาแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า คิดถึงพระบารีพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยได้ทรงชุบเลี้ยงต่อ ๆ มา จะขอบวชเปนพระภิกษุสงฆ์
ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชโองการดำรัสสั่งให้เจ้าพนักงานเผดียงพระสงฆ์
ราชาคณะ, อันดับ มา ณ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม บวชเจ้ามังธาตุราชเจ้าเมืองหลวงพระบางเปนพระภิกขุแล้วโปรดให้ไปจำพรรษาอยู่วัดมหาธาตุ
ภายหลังเมืองหลวงพระบางเกิดความไข้ป่วงใหญ่ ผู้คนล้มตายเปนอันมาก ในปีวอกฉศกนั้นครั้นถวายพระเพลิงพระ
บรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยเสร็จแล้ว เจ้ามังธาตุราชผนวชได้พรรษาหนึ่ง
ก็ลาผนวชไปอยู่บ้านหลวงบางขุนพรหมทำราชการในกรุงเทพ ฯ
ครั้นศักราช ๑๑๘๘ ปีจออัฐศก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการดำรัสเหนือเกล้า ฯ ว่าเจ้ามังธาตุราชเปนคนกตัญญูคิดถึงพระเดชพระคุณในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงชุบเลี้ยงมา
จึงสละทิ้งบ้านเมืองลงมาบวชถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย แล้วอุสาหะทำราชการอยู่ในกรุงเทพ ฯ ช้านาน
เปนคนสัตย์ซื่อมั่นคง จึงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องยศกกุธภัณฑ์ ๕
ประการให้เจ้ามังธาตุราชเพิ่มเติมอิก
แล้วโปรดให้เจ้ามังธาตุราชเจ้าเมืองหลวงพระบางกลับขึ้นไปว่าราชการบ้านเมือง
เจ้ามังธาตุ จึงเอาเจ้าโพเนื้อทองบุตรที่ ๓ เจ้าอุ่นคำเปนอุปราชเดี๋ยวนี้
ถวายเปนมหาดเล็กให้ทำราชการอยู่กรุงเทพ ฯ
แล้วกราบถวายบังคมลาขึ้นไปเมืองหลวงพระบางในปีจออัฐศกนั้น
ศักราช ๑๑๘๙ ปีกุนนพศก
เจ้าอนุเวียงจันท์คิดขบถต่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพ ฯ
เจ้าอนุแต่งให้นักภูมินทร์ไพร่ ๕๐ถือหนังสือขึ้นไปถึงเมืองหลวงพระบางว่า
ขอกองทัพมาช่วยตีกรุงเทพ ฯ เจ้าเมืองหลวงพระบางมังธาตุราชไม่เข้าด้วย
จึงปฤกษาเจ้าอุปราช เจ้าราชวงษ์ ท้าวพระยาเห็นพร้อมกันว่า
ถ้าจะไม่คิดอุบายแต่งให้ท้าวพระยาลงไปพูดจาล่อลวงไว้
เจ้าอนุเวียงจันท์ก็จะยกกองทัพขึ้นมาตีบ้านเมืองหลวงพระบาง
จึงแต่งให้พระยาเมืองแพนกับไพร่ ๒๐ เศษลงไปพร้อมกับนักภูมินทร์
พูดจาล่อลวงเจ้าอนุเวียงจันท์ให้ช้าไว้
แล้วเจ้าเมืองหลวงพระบางมังธาตุราชเร่งมีศุภอักษรบอกข้อราชการให้เจ้าศุขเสิมบุตรที่๑
ถือลงมา ณ กรุงเทพ ฯ แล้วเกณฑ์กองทัพให้เจ้าอุปราช เจ้าราชวงษ์ เจ้าอุ่นแก้ว
เจ้าแก่นคำ เจ้ามาก พระยาเชียงเหนือ พระยานาเหนือ พระยาตีนแทน คุมไพร่ ๕๐๐๐
เศษเตรียมไว้คอยฟังราชการทางกรุงเทพ ฯ
ฝ่ายเจ้าโพเนื้อทองบุตรเจ้ามังธาตุราชที่๓
ซึ่งถวายเปนมหาดเล็กทำราชการอยู่กรุงเทพ ฯ นั้น
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดให้บวชเปนภิกขุแล้วขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท กองทัพเมืองเวียงจันท์จับเจ้าโพเนื้อทองขึ้นไปพบกับพระยาเมืองแพน
ณ เมืองเวียงจันท์ พระยาเมืองแพนพูดจาล่อลวงเจ้าอนุเวียงจันท์
ขอเจ้าโพเนื้อทองพากันกลับไปเมืองหลวงพระบาง เจ้าเมืองหลวงพระบางจึงทราบว่า
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้พระยาราชสุภาวดีเปน
แม่ทัพยกพลทหารขึ้นไปตีเมืองเวียงจันท์
แล้วให้เจ้าอุปราชนายทัพนายกองรีบคุมไพร่พลยกบงมาช่วยกองทัพกรุงเทพ ฯ
ตีกระหนาบเมืองเวียงจันท์ ภายหลังแต่งให้เจ้าสุทธ เจ้าจันทราช
เจ้าคำเม้าเจ้าคำปานคุมเสบียงอาหารลงไปกราบเรียนพระยาราชสุภาวดีจ่ายไพร่พลกองทัพ
แลเมื่อเจ้าศุขเสิมถือศุภอักษรลงมาแจ้งราชการณกรุงเทพ ฯ นั้น
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระโสมนัศ
ยินดีดำรัสสรรเสริญเจ้ามังธาตุราชว่าเปนคนซื่อสัตย์ต่อกรุงเทพฯ จึง
ให้เจ้าศุขเสิมบุตรถือศุภอักษรเล็ดลอดข้าศึกลงมาได้
จึงโปรดตั้งเจ้าศุขเสิมบุตรเจ้ามังธาตุราชที่ ๑ เปนราชบุตร แล้วให้รีบกลับขึ้นไปเมืองหลวงพระบาง
ถึงศักราช ๑๑๙๐ ปีชวดสัมฤทธิศก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระราชโองการโปรดให้พระยาพิไชยขึ้นไปเอาตัวเจ้าสุทธอุปราชลงมา ณ กรุงเทพ ฯ
ว่าเจ้าอุปราชปิดบังครอบครัวเมืองเวียงจันท์ไว้ เจ้าราชไภยราชวงษ์
เจ้าศุขเสิมราชบุตร เจ้า จันทราชน้องเจ้าศุขเสิมก็ลงมาด้วย
เจ้าอุปราชถึงแก่กรรมในกรุงเทพ ฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงโปรดเกล้า ฯ ตั้งเจ้าราชไภยราชวงษ์เปนอุปราช เจ้าศุขเสิมราชบุตรเปนราชวงษ์
เจ้าจันทราชบุตร เจ้ามังธาตุราชที่ ๒ เปนราชบุตรกลับขึ้นไปรักษาราชการบ้านเมือง
ศักราช ๑๑๙๑ ปีฉลูเอกศก
มหาวังเมืองเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า มีความพยาบาทเกณฑ์กองทัพลงมาตีเมืองหลวงพระบาง
เจ้ามังธาตุราชเจ้าเมืองหลวงพระบางแต่งให้เจ้าราชไภยอุราช เจ้าอุ่นแก้วน้อง
เจ้าราชไภยคุมกองทัพขึ้นไปสู้รบ กองทัพมหาวังสู้ไม่ได้แตกหนีไป
ศักราช ๑๑๙๕ ปีมเสงเบญจศก เจ้าพระยาบดินทรเดชาเปนแม่ทัพคุมพลทหารกรุงเทพ
ฯ
ออกไปรบญวนที่เมืองพนมเปนแต่นั้นมาเมืองญวนกับเมืองหลวงพระบางก็ขาดทางไมตรีไม่ได้ไปมาหากัน
ครั้นศักราช ๑๑๙๗ ปีมแมสัปตศก
เจ้าพระยาธรรมาเปนแม่ทัพคุมพลทหารยกขึ้นไปตั้งอยู่เมืองหลวงพระบาง
แล้วแต่งให้เจ้าราชไภยอุปราชท้าวพระยาคุมกองทัพขึ้นไปตีเมืองพวน
แต่งให้เจ้าอุ่นแก้วน้องเจ้าอุปราช เจ้าสญไชยบุตรเจ้าอุปราชนากที่ ๗
เจ้าแก่นคำบุตรเจ้าหอน่าอภัยที่ ๒ เจ้าคำปานบุตรเจ้ามังที่ ๑
ท้าวพระยาคุมกองทัพยกขึ้นไปตีเมืองแถง จับได้ลาวพวนลาวทรงด่ำส่งลงมาณ กรุงเทพ ฯ
เสร็จราชการแล้วเจ้าพระยาธรรมาแม่ทัพเลิกทัพกลับลงมากรุงเทพ ฯ
เจ้ามังธาตุราชเจ้าเมืองหลวงพระบางครองเมืองได้ ๒๐ ปี รวมอายุ ๖๔ ปีก็ถึงแก่กรรม
ศักราช ๑๑๙๘ ปีวอกอัฐศก
เจ้าอุปราช เจ้าราชวงษ์ มีศุภอักษรแต่งให้เจ้าอุ่นแก้วคุมดอกไม้เงินทองลงมาณ
กรุงเทพ ฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า
เจ้าอุปราชหรือเจ้าราชวงษ์คงจะตั้งเปนเจ้าเมืองหลวงพระบางคนหนึ่ง
จึ่งโปรดตั้งเจ้าอุ่นแก้ว บุตรเจ้าเมืองหลวงพระบางอนุรุธที่ ๕
เปนน้องเจ้าอุปราชไภย เปนที่ราชวงษ์ขึ้นไปรักษาบ้านเมือง ครั้งเจ้าอุปราช
เจ้าราชวงษ์ปลงศพเจ้าเมืองหลวงพระบางเสร็จแล้ว พวกเมืองหึม เมืองคอย
เมืองควรตั้งขัดแขงต่อเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราช เจ้าราชวงษ์
แต่งให้ท้าวพระยาคุมกองทัพขึ้นไปตีจับได้ลาวทรงดำ แต่งให้พระยา ศรีมหานามคุมลงมา ณ
กรุงเทพ ฯ ครั้งหนึ่ง
ศักราช ๑๒๐๐ ปีจอสัมฤทธิศก
เจ้าอุปราช เจ้าราชวงษ์มีความวิวาทกันลงมา ณ กรุงเทพ ฯ
เจ้าราชวงษ์ก็คุมลาวทรงดำลงมา ณ กรุงเทพ ฯ อิกครั้งหนึ่ง
เจ้าราชวงษ์ฟ้องเจ้าอุปราชว่าแต่งท้าวคำฟันไปพูดจากับญวน
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นด้วยจึงโปรดเกล้า ฯ ตั้งเจ้าราชวงษ์ศุขเสิมบุตรเจ้ามังธาตุราชที่
๑ เปนเจ้าเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราชราชไภยบุตรเจ้าอนุรุธที่ ๔
เปนที่เจ้าอภัยสุริยวงษาผู้ช่วยว่าราชการ เจ้าอุ่นแก้วราชวงษ์บุตรเจ้าอนุรุธ ที่ ๕
เปนอุปราช เจ้าจันทราชราชบุตร ๆ เจ้ามังธาตุราชที่ ๒ เปนราชวงษ์ เจ้าแก่นคำบุตรเจ้าอภัยหอน่าที่
๒ เปนราชบุตร
ครั้นเจ้าอภัยสุริยวงษาผู้ช่วยราชการขึ้นไปถึงท่าปากลายก้หนีไปเมืองเชียงคาน
เจ้าเมืองหลวงพระบางแต่งให้ท้าวพระยาตามจับ ได้ตัวเจ้าอภัยสุริยวงษาส่งลงมา ณ
กรุงเทพ ฯ เจ้าอภัยสุริยวงษาถึงแก่กรรมที่กรุงเทพ ฯ
เจ้าเมืองหลวงพระบางศุขเสิมมีบุตรชาย เจ้าคำเง่า ๑
เจ้าบุญเพ็ชร ๑ เจ้าพรหมจักร ๑ เจ้าคำแสง ๑ เจ้าพรหมา ๑ เจ้า อินทจักร ๑ บุตรหญิง
เจ้ากัญญา ๑ เจ้าคำอ้น ๑ เจ้าบุดดี ๑ เจ้าบับภา ๑ เจ้าคำสอน ๑ เจ้าอุ่นคำ ๑
เจ้าคำปล้อง ๑ รวม ๑๓ คน
เจ้าอุปราชอุ่นแก้วมีบุตรชายเจ้าศิริษา๑
เจ้าสุวรรณพรหมา ๑ เจ้าทองคำ ๑ เจ้าคำมา ๑ บุตรหญิง เจ้าสุพรรณ ๑ เจ้าคำปิ่น ๑
เจ้าคำซาว ๑ รวม ๗ คน
เจ้าราชบุตรแก่นคำมีบุตรชาย เจ้าคำเพ็ง ๑ เจ้าคำเล็ก
๑ เจ้าพรหมา ๑ เจ้าคำโสม ๑ เจ้าคำย่น ๑ เจ้าดอกแก้ว ๑ บุตรหญิง เจ้าทองดี ๑
เจ้าคำกอง ๑ เจ้าคำล่า ๑ เจ้าคำตือ ๑ เจ้าคำวาว ๑ เจ้าหุ่นจีน ๑ รวม ๑๒ คน
เจ้าเมืองหลวงพระบางศุขเสิมครองเมืองได้๑๐
ปีถึงศักราช ๑๒๑๐ ปีวอกสัมฤทธิศกเจ้าหน่อคำบุตรหม่อมมหาวัง
เจ้ามหาไชยงาคำบุตรมหาน้อยเมืองฮำยกกองทัพมาตีเจ้าอุปราชาเมืองเชียงรุ้งกับมหาไชยเมืองพงได้ต่อรบกันเปนสามารถ
ขณะนั้นเจ้าเมืองหลวงพระบางลงมาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวณกรุงเทพ
ฯ กราบถวายบังคมลาขึ้นไปถึงท่าปากลาย จึงแต่งให้พระยาเมืองขวา
ถือหนังสือขึ้นไปเมืองหลวงพระบางว่า ให้เจ้าอุปราชเปนแม่ทัพคุมไพร่ ๕๐๐๐
คนรีบยกขึ้นไปคิดราชการ แล้วให้แต่งท้าวพระยาขึ้นไปเกลี้ยกล่อมมหาไชยท้าวพระยาเมืองล่า
เมืองพง
ณ วันเดือนยี่ แรมแปดค่ำปีวอกสัมฤทธิศก
เจ้าอุปราชคุมไพร่ ๕๐๐๐ คนยกจากเมืองหลวงพระบาง
ขึ้นไปตั้งอยู่เมืองไซทางไกลเมืองหลวงพระบาง ๗ คืน
เจ้าอุปราชแต่งให้เจ้าอุ่นคำคุมไพร่ ๑๐๐๐ คนขึ้นไปตั้งอยู่บางแพงโพทอง๑
ให้เจ้าษาคุมไพร่ ๑๐๐๐ คนขึ้นไปตั้งอยู่เมืองเงิน๑ ให้พระยาศรีนครโลก
พระยานาเหนือคุมไพร่ ๘๐๐ คนให้ตั้งอยู่เมืองบูรณ์ใต้ ๑ ให้เจ้าพรหมา เจ้าสุก
พระยาจ่าบ้านคุมไพร่ ๘๐๐ คนให้ตั้งอยู่เมืองวาอาฮิน ๑
คอยเกลี้ยกล่อมได้ครอบครัวพวกอุปราชา มหาไชย
เจ้าเมืองหลวงพระบางจึงแต่งให้เจ้าสญไชยเจ้าคำปานขึ้นไปตั้งอยู่เมืองซือ เมืองงอย
รับส่งครอบครัวลงมาเมืองหลวงพระบาง ครํ้น ณ เดือนสี่ข้างแรม
เจ้าอุปราชาเมืองเชียงรุ้งพาครอบครัวหนีเข้ามาเมืองบูรณ์เหนือ
พระยาศรีนครโลกให้พระยานาเหนือพาเจ้าอุปราชาแลครอบครัวลงมาเมืองไซ
ครั้นณเดือนห้าข้างขึ้นเจ้าอุปราชแต่งให้นายทัพนายกองอยู่รักษาเขตรแดนแล้วพาเจ้าอุปราชครอบครัวลงมาเมืองหลวงพระบาง
ครั้นณเดือนหกข้างขึ้นปีรกาเอกศก มารดา, น้องหญิง,
ภรรยาเจ้าอุปราชาหนี
เข้ามาอยู่เก่วกายแขวงเมืองหลวงพระบาง เจ้าพรหมมา เจ้าสุกแต่ง
ให้ท้าวพระยาไปเกลี้ยกล่อมพาเข้ามาเมืองวาอาฮิน ณเดือนหกแรมเก้าค่ำ เจ้าพรหมา
เจ้าสุกพามารดา , น้องหญิง,
ภรรยาเจ้าอุปราชาลงมาถึงเมืองหลวงพระบางณวันเดือนเจ็ดขึ้นค่ำหนึ่งปีรกาเอกศก
ครั้น ณ เดือนเก้าขึ้นเจ็ดค่ำ เจ้าเมืองหลวงพระบางแต่งให้เจ้าอุปราช เจ้าอุ่นคำ
เจ้าษา เจ้าพรหมา เจ้าสุก เจ้าสิง พระยาเชียงใต้ ถือศุภอักษรดอกไม้เงินทองเครื่องราชบรรณาการ
พาตัวเจ้าอุปราชาลงมา เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวณ
กรุงเทพ ฯ เจ้าเมืองหลวงพระบางศุขเสิมครองเมืองได้ ๑๒ ปี รวมอายุ ๕๓ ปี
ถึงแก่กรรมในเดือนสิบแรมสิบค่ำศักราช ๑๒๑๒ ปีจอโทศก
ที่เมืองหลวงพระบางก็เกิดความไข้ป่วงใหญ่ผู้คนตายมาก
ฝ่ายเจ้าอุปราชอุ่นแก้วลงมาอยู่ ณ กรุงเทพ ฯ
ก็ถึงแก่กรรมในเดือนอ้ายแรมสามค่ำปีจอโทศก ครั้นณเดือนห้าห้าขึ้นค่ำหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ศักราช ๑๒๑๓ ปีกุญตรีศก
ครั้น ณ เดือนห้าแรมสามค่ำพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระบรมราชโองการดำรัส
สั่งให้เจ้าพนักงานชักศพเจ้าอุปราชอุ่นแก้วไปเข้าสู่เมรุวัดทอง แล้ว
พระราชทานฝ้าไตร ๑๕ ไตรเงินสองชั่งให้ทำบุญให้ทานในการศพ
แล้วได้พระราชทานเงินตราถวายพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมคืนละสองตำลึง ๔เดือนเปนเงิน ๑๒
ชั่ง ครั้น ณ เดือนสิบปีกุญตรีศก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เจ้าอุ่นค่ำ เจ้าษา เจ้าพรหมา เจ้าสิง
เจ้าสุก ท้าวพระยาแลเจ้าอุปราชขึ้นไปเมืองหลวงพระบาง
โปรดพระราชทานสิ่งของขึ้นไปทำบุญให้ทานในการศพเจ้าเมืองหลวงพระบางศุขเสิม
แล้โปรดให้หลวงเทเพนทร์
ขุนวิเสศเปนข้าหลวงคุมหีบศิลาน่าเพลิงขึ้นไปเผาศพเจ้าเมืองหลวงพระบางศุขเสิมเสร็จแล้ว
เจ้าราชวงษ์จันทราชแลเจ้านายบุตรหลานท้าวพระยาจึงพาเจ้าอุปราชาเมืองเชียงรุ้ง
กับคุมดอกไม้ทองเงินลงมา ณ กรุงเทพ ฯ
ศักราช ๑๒๑๔ ปีชวดจัตวาศก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้า ฯ
ตั้งเจ้าราชวงษ์จันทราชบุตรเจ้ามังธาตุราชที่ ๒ เปนเจ้าเมืองหลวงพระบาง
เจ้าอุ่นคำบุตรเจ้ามังธาตุราชที่ ๔ เปนอุปราช เจ้าคำบัวบุตรเจ้ามังธาตุราชที่ ๕
เปนราชวงษ์พาอุปราชากลับขึ้นไปเมืองหลวงพระบาง ในเดือนอ้ายปีชวดจัตวาศกเจ้าเมืองหลวงพระบาง
ได้แต่งให้ท้าวพระยาคุมเครื่องราชบรรณาการจำนวนปีชวดจัตวาศก
ไปเมืองปักกิ่งครั้งหนึ่งไปถึงเมืองแสหลวงบ้านเมืองเมืองปักกิ่งเกิพดทัพศึกวิวาทรบพุ่งกัน
เจ้าเมืองแสหลวง ให้ท้าวพระยาเมืองหลวงพระบางส่งเครื่องบรรณาการไว้
แล้วให้กลับลงมาเมืองหลวงพระบาง
ศักราช ๑๒๑๕ ปีฉลูเบญจศก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงวงษาธิราชสนิทเปนแม่ทัพคุมไพร่พลทหารยกขึ้นไปตีเมืองเชียงตุง
เจ้าเมืองหลวงพระบาง แต่งให้เจ้าอุปราช เจ้าราชวงษ์ เจ้าคำเม้า เจ้ากำ
เจ้าษาคุมไพร่ ๓๐๐๐คน ยกขึ้นไปช่วยพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงวงษาธิราชสนิทระดมตีเมืองเชียงตุง เจ้าษาถึงแก่กรรมในที่รบ
แต่เจ้าคำเม้าหายไป ครั้นเลิกทัพกลับมา
เจ้าอุปราชาเมืองเชียงรุ้งก็ตามเสด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิทลงมา ณ
กรุงเทพ ฯ
ครั้นศักราช ๑๒๑๖ ปีขาลฉศก
นายเชียงจำปาคนเมืองหลวงพระบาง ท้าวอิน ท้าวบุญคงคนเมืองน่าน
ซึ่งพวกเมืองเชียงตุงจับไว้ หนีลงมาถึงกรุงเทพฯ
ว่าพม่าเกณฑ์คนสามแสนจะยกลงมาตีเมืองเชียงใหม่สองแสน เมืองหลวงพระบางแสนหนึ่ง
ท่านเสนาบดี ทั้งปวงจึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา
แด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทแล้ว จึงโปรดเกล้า ฯ
ให้พระยาสีหราชเดโชไชย
พระยาราชวรานุกูลคุมพลทหารพาอุปราชาขึ้นไปถึงเมืองหลวงพระบาง
ในเดือนสามข้างขึ้นปีขาลฉศก
จัดการรักษาบ้านเมืองแลค่ายกำแพงหอรบเสร็จแล้วตั้งฟังราชการอยู่
ก็ไม่มีเหตุการแลทัพศึกสิ่งใด พระยาสีหราชเดโชไชย พระยาราชวรานุกูลคุมไพร่พลแลพาอุปราชากลับลงมา
ณ กรุงเทพ ฯ
ครั้นศักราช ๑๒๑๗ ในเดือนห้าปีมโรงยังเปนสัปตศก
พระยาราชพินิจจัยเชิญศุภอักษรแลพามหาอุปราชา ขึ้นไปเมืองหลวงพระบาง
ให้เจ้าเมืองหลวงพระบางแต่งท้าวพระยาพาเจ้ามหาอุปราชา ขึ้นไปส่งบ้านเมือง ครั้น ณ
เดือนหกแรมแปดค่ำปีมโรงอัฐศก เจ้าเมืองหลวงพระบางแต่งให้พระยาศรีมหานาม
พระยากวานเล็กน้อยพาเจ้ามหาอุปราชาแลมารดาน้องหญิงภรรยาครอบครัวขึ้นไปถึงเมืองบูรณ์เหนือแขวงเมืองหลวงพระบางพรมแดนต่อแขวงเมืองเชียงรุ้ง
เจ้ามหาอุปราชาให้พระยาศรีมหานาม พระยากวานเล็กน้อยพักครอบครัวรออยู่ที่เมืองบูรณ์เหนือก่อน
ด้วยเมืองเชียงรุ้งยังไม่เปนปรกติ
เจ้ามหาอุปราชาจะขึ้นไปฟังเหตุการร้ายดีประการใดจึงจะแต่งคนถือหนังสือลงมารับครอบครัวครั้งหลัง
เจ้ามหาอุปราชาขึ้นไปถึงเมืองพง คิดอุบายให้มหาไชยเมืองพงขึ้นไปส่ง
ครั้นไปถึงเมืองฮำ เจ้ามหาอุปราชาพักอยู่เมืองฮำ มหาไชยตั้งอยู่ท่าตัวเหนือเมืองฮำทางใกล้กันวันหนึ่งแล้วเจ้ามหาอุปราชาจึงแต่งหนังสือขึ้นไปถึงเจ้าราชบุตรเมืองเชียงรุ้ง
ๆ แต่งให้อาญาน้อยเมืองฮำ คุมไพร่พลยกไปตีพวกมหาไชยแตกหนีลง มาเมืองพง
ครั้นเดือนแปดปีมโรงอัฐศก มหาไชยเมืองพง จึงเกณฑ์กองทัพยกขึ้นไปตีเมืองรา เมืองลองแตก
มหาไชยจับได้ เจ้ามหาอุปราชาที่วัดใหม่เมืองลอง
เมื่อเดือนสิบสองขึ้นหกค่ำปีมเสงนพศก
พามาถึงเมืองฮำก็ฆ่ามหาอุปราชาเสียในวันเดือนสิบสอบขึ้นแปดค่ำ
แล้วมหาไชยยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองแจ เจ้าราชบุตรเมือง เชียงรุ้ง
อาญาน้อยเมืองฮำแลพวกเมืองโรง เมืองแจงหกพันนาฝ่ายตวันตกพร้อมกันยกเข้าตีกองทัพมหาไชยเจ้าเมืองล่า
เจ้าเมืองพงได้สู้รบกันเปนสามารถ ผู้คนล้มตายเปนอันมาก เจ้าเมืองล่าตายในที่รบ
มหาไชยเจ้าเมืองพงทนฝีมือไม่ได้พาครอบครัวหนีลงมาพักอยู่ลองเฮียดแขวงเมืองหลวงพระบาง
ศักราช ๑๒๑๙ ปีมเสงนพศกในเดือนสี่ข้างขึ้น
มหาไชยกลับยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองโรงได้สู้รบกันเปนสามารถ มหาชัยถูกปืนตายในที่รบ
แล้วนายยงบุตรมหาไชยกับนายทัพนายกองพากันแตกหนีลงมาตั้งอยู่ลองเฮียด
แล้วส่งครอบครัวเข้ามาพักอยู่นาหินเมืองไซ
เจ้าเมืองหลวงพระบางแต่งให้พระยาเมืองซ้ายคุมไพร่ขึ้นไปตั้งอยู่เมืองไซ พระยาเชียงใต้คุมไพร่ไปตั้งอยู่บ้านแพงโพทอง
พระยาหมื่นน่าคุมไพ่ร่ไปตั้งอยู่เมืองอวย
พระยาศรีนครโลกเพี้ยจ่าหมื่นคุมไพรไปตั้งอยู่เมืองบูรณ์ใต้คอยฟังราชการแลรักษาป้องกันเขตรแดน
ครั้นศักราช ๑๒๒๒ ปีวอกโทศก
ในเดือนหกขึ้นสิบห้าค่ำ นายยงบุตรมหาไชยท้าวพระยาเมืองพงยกกองทัพเข้ามาตีทัพพระยาเมืองซ้าย
พระยาเมืองซ้ายนายทัพนายกองทั้ง ๔ ทัพช่วยกันรบพุ่งพวกลี้อพวกลาวตายบ้าง
กองทัพพระยาเมืองซ้ายแลนายทัพนายกองทั้งปวงเสียท่วงทีแตกหนีลงมาน้ำปาดน้ำอู
เจ้าเมืองหลวงพระบางจึงแต่งให้เจ้าราชวงษ์เปนแม่ทัพ เจ้าคำปาน เจ้าสาร เจ้าก่ำ
เจ้ายอด ท้าวพระยาคุมไพร่พลยกขึ้นไปตั้งอยู่น้ำปาด เมืองงอย น้ำอูทัพหนึ่ง
เจ้าราชบุตรเปนแม่ทัพ เจ้าก่ำ เจ้าฮวด เจ้าเขียว เจ้าคำเพ็ง
ท้าวพระยาคุมไพร่พลขึ้นไปอยู่บ้านเทียวใต้เมืองไซทัพหนึ่ง แล้วเจ้าราชวงษ์
เจ้าราชบุตรแต่งให้นายกองยกขึ้นไปตามนายยง ถึงเมืองไซหาทันนายยงไม่
จับได้แต่ช้างพัง ๑ โค่าง ๓๘ หลัง แล้วนายยงพาครอบครัวหนีไปพักอยู่เมืองแวน
ครั้นณเดือนแปดปีวอกโทศก เจ้าราชวงษ์
เจ้าราชบุตรให้นายทัพนายกองอยู่ประจำรักษาแล้วเลิกทัพกลับลงมาเมืองหลวงพระบาง
ศักราช ๑๒๒๓ ปี ในเดือนยี่ขึ้นสิบเอ็จค่ำปีรกาตรีศก
นายยงท้าวพระยาเมืองล่าเมืองพงยกกองทัพมาตีเมืองบูรณ์เหนือ เมืองยั้ว
เมืองบูรณ์ใต้ เมืองเงิน เมืองรวงใน เมืองอาย บ้านแพงโพทอง เมืองล่า
เมืองไซซึ่งขึ้นแก่เมืองหลวงพระบาง
บรรดาเจ้าเมืองท้าวพระยานายทัพนายกองซึ่งอยู่ประจำรักษาได้ออกสู้รบป้องกันเหลือกำลังทนฝีมือกองทัพนายยงไม่ได้
แตกหนีมาทางน้ำอูบ้างน้ำของบ้าง นายยงคุมกองทัพยกเข้ามาตั้งอยู่นาหินเมืองไซทัพ ๑
นาแลทัพ ๑ นาสาวทัพ๑เมืองแปงบ้านพระยาพิศวงลือเมืองล่าทัพ๑ สี่ทัพ
ครั้งนั้นเจ้าเมืองหลวงพระบางลงมาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท ณ กรุงเทพ ฯ
เจ้าอุปราชแต่งให้เจ้าราชวงษ์เปนแม่ทัพ เจ้าคำปาน เจ้าพรหมา พระยาเมืองขวา
พระยาหมื่นน่า พระยาเมืองแพนคุมไพร่พลยกขึ้นไปทางลาดหารเมืองงานาโคกทัพ ๑
เจ้าราชบุตรเปนแม่ทัพ พระยาคำมหาโนกพระยาเชียงเหนือคุมไพร่ยกไปทางน้ำปาดทัพ ๑
แล้วนัดให้ยกไปบรรจบกันที่เมืองไซครั้น ณ เดือนยี่แรมหกค่ำ พระยาเมืองขวา
พระยาหมื่นน่า พระยาเมืองแพนยกขึ้นไปตั้งอยู่นาโกก แรมสิบเอ็จสิบสองค่ำ เจ้าคำปาน
เจ้าพรหมายกไปตั้งอยู่เมืองงา แรมสิบสี่ค่ำ
เจ้าราชวงษ์เปนแม่ทัพยกไปตั้งอยู่ลาดหาร
เจ้าราชบุตรยกขึ้นไปตั้งอยู่ปากน้ำเมืองงอย ครั้น ณ
เดือนสามขึ้นสิบสองค่ำเจ้าคำปานเจ้าพรหมายกไปตั้งอยู่นาโกก ให้พระยาเมืองขวา
พระยาหมื่นน่า พระยาเมืองแพน เลื่อนทัพขึ้นไปตั้งอยู่เมืองแปงปากทาง
แล้วนัดทัพพร้อมกันเข้าระดมตีทัพนายยง ยังหาถึงวันนัดไม่ พวกกองทัพพระยาเมืองขวา
พระยาหมื่นน่า พระยาเมืองแพนยกเข้าตีชิงได้ค่ายนายยงลูกหนึ่ง สู้รบกันอยู่วันหนึ่ง
กองทัพพระยาเมืองขวาสิ้นลูกกระสุนดินดำ
ก็ถอยทัพลงมาทางโมกกกลากลิ่งเชียงคานน้ำงาครั้น ณ เดือนสามแรมสิบเอ็จค่ำ
เจ้าราชบุตรให้พระยาศรีมหาโน เพี้ยจ่าหมื่นยกเข้าตีทัพนายยง ๆ แต่งทัพออกสกัดหลัง
พระยาศรีมหาโนเพี้ยจ่าหมื่นเสียท่วงทีแตกหนีไป เจ้าคำปาน เจ้าพรหมา
แต่งให้พระยาคำชมภู พระยาวรวงษาคุมไพร่ ๘๐๐ คนยกขึ้นไป เจ้าคำปาน
เจ้าพรหมาก็ยกหนุนตามขึ้นไปทางเมืองไซ นายยงรู้ว่ากองทัพยกขึ้นไปมากก็เลิกทัพหนีไป
เจ้าคำปาน เจ้าพรหมาให้พระยาคำชมภู
พระยาวรวงษายกติดตามขึ้นไปถึงเมืองบูรณ์เหนือหาทันทัพนายยงไม่
แล้วน้อยเขยเจ้าเมืองอูเหนือ เจ้าเมืองสม เจ้าเมืองงาย
พระยาสิงคำลื้อยกกองทัพเข้าล้อมตีกองทัพพระยาคำชมภู
พระยาวรวงษาในเวลากลางคืนได้สู้รบกันเปนสามารถพระยาวรวงษาถึงแก่กรรมในที่รบ
พระยาคำชมภูจึงถอยทัพเข้าภูน้อยงวงกลาง เจ้าราชบุตรรู้ว่าทัพพระยาคำชมภูเสียที
จึงให้พระยาเชียงเหนือคุมไพร่๑๓๐๐ คนยกไปสกัดหลังทัพลื้อ ได้รบพุ่งกันเปนสามารถ
เจ้าเมืองสมเจ้าเมืองงายกับน้องเขยเจ้าเมืองอูเหนือ
ถูกปืนพวกเมืองหลวงพระบางตายในที่รบ ไพร่พลกองทัพแตกกระจัดกระจายหนีไป เจ้าราชวงษ์
เจ้าราชบุตรนายทัพนายกองเห็นราชการสงบอยู่
จึงแต่งให้นายทัพนายกองอยู่ประจำรักษาเขตรแดน แล้วเลิกทัพกลับมาเมืองหลวงพระบาง
ศักราช๑๒๒๔ เดือนอ้ายปีจอจัตวาศก
ฮ่อซางเตอะยกกองทัพมาตีพระยาหลวงข้าต่อเปนหัวอยู่แขวงเมืองหลวงพระบาง
ได้สู้รบกันประมาณสี่ห้าวัน
พระยาหลวงข้าต่อทนฝีมือฮ่อซางเตอะไม่ได้แตกหนีลงมาเมืองวา เมืองงาย
เจ้าเมืองหลวงพระบางแต่งให้พระยาเชียงเหนือ ท้าวคำฟั่นคุมไพร่ ๑๐๐๐
เลิศยกขึ้นไปตีฮ่อซางเตอะทนฝีมือไม่ได้แตกหนีไป
ตั้งแต่ศักราช๑๒๑๔
ปีชวดจัตวาศกเจ้าเมืองหลวงพระบางแต่งบรรณาการไปเมืองปักกิ่งครั้งหนึ่ง มาถึงศักราช
๑๒๒๖ ปีชวดฉศกนับได้ ๑๓ ปี ยังหาได้ไปบรรณาการไม่
ในศักราช ๑๒๒๖ ปีชวดฉศก
ท้าวพระยาเมืองเชียงรุ้งบอกมาถึงเมืองหลวงพระบาง
ว่าวันอาทิตย์เดือนหกขึ้นหกค่ำปีชวดฉศก เจ้าราชบุตรเจ้าเมืองเชียงรุ้งถึงแก่กรรม
เจ้าอังวะแต่งให้อมุขิมังษา ๑ ไพร่ ๒๐๐ คนลงมาเมืองเชียงรุ้ง ฝ่ายเจ้าปักกิ่ง
ก็แต่งให้ฮ่อตัวนาย ๑ ไพร่ ๒๐๐ คนลงมาพร้อมกัน ณ เมืองเชียงรุ้ง
ครั้นวันศุกรเดือนแปด ขึ้นสิบสี่ค่ำปีชวดฉศก
พม่าฮ่อพร้อมกันตั้งบุตรเจ้ามหาอุปราชาเปน เจ้าเมืองเชียงรุ้ง
บุตรเจ้ามหาอุปราชาคนนี้เกิดเมื่อศักราช ๑๒๑๐ ปีวอกสัมฤทธิศก อายุได้ ๑๗ ปี
ได้เปนเจ้าเมืองเชียงรุ้ง
ครั้นศักราช ๑๒๒๘ เดือนเก้าปีขาลอัฐศก
เจ้าอุปราช เจ้าราชวงษ์เมืองหลวงพระบางลงมาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท ณ กรุงเทพ ฯ
กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบางขึ้นไปเมืองหลวงพระบางตามเดิม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดพระราชทานพระบางให้เจ้าอุปราช
เจ้าราชวงษ์นำขึ้นไปไว้เมืองหลวงพระบาง
เมื่อโปรดพระราชทานพระบางให้เจ้าอุปราชเจ้าราชวงษ์นั้นก็เปนมหัศจรรย์เห็นพระฉายรูปพระปฏิมากรขึ้นไปติดอยู่ที่ซุ้มพระปรางวัดจักรวรรดิราชาวาศริมกับหอที่พระบางอยู่
ขุนนางแลราษฎรแตกตื่นกันไปทำสักการบูชา
มีพิณพาทย์กลองแขกแตรสังข์เวียนเทียนสมโภชรอบพระปรางเปนอันมาก
แต่สมโภชอยู่นั้นประมาณสี่ห้าเดือน
แต่ขุนนางราษฎรทั้งปวงที่มาดูเห็นพระฉายไม่ต้องกัน
บางคนเห็นเปนสีทองบ้างสีนวนบ้างสีแดงบ้าง
ดูใกล้ริมฐานพระปรางไม่เห็นเปนรูปพระฉายดูไกลจึงเห็น ครั้น ณ
วันอาทิตย์เดือนห้าแรมสองค่ำศักราช ๑๒๒๙ปีเถาะนพศก ได้เชิญพระบางลงเรือตั้งกระบวนแห่ไปจากกรุงเทพฯ
เจ้าอุปราชเจ้าราชวงษ์นำพระบางขึ้นไปถึงเมืองพิไชย ณวันเดือนแปดขึ้นค่ำหนึ่ง
ไปจากเมืองพิไชยวันเสาร์เดือนแปดขึ้นห้าค่ำ ถึงเมืองหลวง
พระบางวันพุฒเดือนสิบขึ้นหกค่ำปีเถาะนพศก ครั้น ณ
วันเสาร์เดือนสามขึ้นค่ำหนึ่งปีเถาะนพศก กรมการเมืองพิไชยบอกส่งใบบอกเจ้าเมืองหลวงพระบางลงมา
มีความในใบบอกว่า เจ้าเมืองหลวง
พระบางให้เสนาบดีมีหนังสือมาถึงหลวงพิไชยชุมพลมหาดไทยเมือง พิไชยว่า
เจ้าอุปราชเจ้าราชวงษ์เชิญพระบางไปถึงบ้านตาแสงแขวงเมืองหลวงพระบาง ณ
วันอังคารเดือนเก้าแรมห้าค่ำ พระครู พระสงฆ์เจ้าเมืองหลวงพระบาง เสนาบดี
ไพร่บ้านพลเมืองพร้อมกันมารับพระบางไปพักอยู่ที่ท่าเชียงแมน มีการสมโภช ๑๕ วัน
ณวันพุฒ เดือนสิบขึ้นหกค่ำ เจ้าเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราช เจ้าราชวงษ์ เสนาบดี
พระสงฆ์สามเณร แลไพร่พลเมืองทั้งปวง
เชิญพระบางลงเรือตั้งกระบวนแห่มีพิณพาทย์แตรสังข์มโหรทึก ข้ามน้ำไปขึ้นท่าวัดช้างสรงน้ำพระบางเสร็จแล้วตั้งกระบวนแห่ช้างม้ามีพิณพาทย์เครื่องเล่นต่าง
ๆ แห่พระบางไปไว้ในหอนั่งเจ้าเมืองหลวงพระบาง
แล้วนิมนต์พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์เลี้ยงพระ มีเทศนามีลครสมโภช๕ วัน ๕ คืน
แล้วเกณฑ์คนผลัดเปลี่ยนกันรักษาพระบางอยู่ทุกวันเจ้าเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราช
เจ้าราชวงษ์ เจ้าราชบุตร เสนาบดีทั้งปวง
ให้ช่างสร้างวิหารไว้พระบางในวังเจ้าเมืองหลวงพระบางก่อแต่ดินขึ้นไปถึงพื้นสูง ๔
ศอกคืบ แต่พื้นไปถึงหัวเทียนสูง ๙ ศอก คืบขื่อกว้าง ๓ วา ยาว ๖
ห้องมีเฉลียงรอบให้ช่างทำเปนมณฑป ๓ ชั้น ช่างยังทำอยู่ทุกวัน
ทำเสร็จแล้วจะได้เชิญพระบางขึ้นสถิตย์อยู่ให้สมควร
อนึ่งราชการทางเมืองไซก็ได้แต่งให้พระยาเมืองขวา เพี้ยล่ามขึ้นไปตั้งเมืองล่า
เมืองไว เมืองอาย เมืองเงิน เมืองยอ เมืองบูรณ์เหนือ เมืองบูรณ์ใต้ พระยาเมืองขวา
เพี้ยล่ามมาแจ้งว่า ราชการทางเมืองขวา เมืองอาฮิน เมืองไลสงบอยู่
ฝ่ายเมืองแถงแลหัวพันทั้งหก ก็มาคำนับทุกปีมิได้ขาด ถ้ามีราชการประการใด
จะบอกลงมาให้ทราบครั้งหลัง บอกมา ณ วันเสาร์เดือนสิบเอ็ดขึ้นสิบสี่ค่ำปีเถาะนพศก
……………………………………..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น